หมายเหตุ
การค้าด้วยเรือสำเภา ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีหลักฐานที่พอค้นพบได้มาแต่สมัย(ศรี) ทวารวดี ในฐานะที่เป็นรัฐศูนย์กลางการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศในน่านน้ำเอเชียตะวันออกฉียงใต้ และติดต่อค้าขายเรื่อยมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ (เรือ : วัฒนธรรมชาวน้ำลุ่มเจ้าพระยา, 2545 : 15-16)

จากหลักฐานการค้าต่างประเทศ สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ใช้เรือสำเภา เรียกกันว่า การค้าสำเภา สำเภาหลวง ในรัชกาลที่ 1 มีอยู่สองลำ เรือหูสง และเรือทรงพระราชสาสน์ ส่วนเรือสำเภาเอกชน มีทั้งของเจ้านายผู้ใหญ่ ทั้งของพ่อค้า ร่ำลือกันว่า พระยาคลัง ( กุน ) ต่อมาเป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ต้นสกุล รัตนกุล มีเรือสำเภามากกว่าใครอื่น ร่ำรวยมากจนได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีค้าสำเภา

เสฐียรโกเศศ อธิบายลักษณะเรือสำเภาเอาไว้ว่า ... ตอนหัวเรือตรงที่แหวะออก เรียกว่าปากปลา สองข้างปักธงตะขาบ ถัดหัวเรือเข้ามาเขียนเป็นตาเรือสีขาวดำ หน้าเรือปิดกระดาษมีตัวหนังสือจีน ข้างหนึ่งเขียนว่า เล่งเท้าแชกิมกั้ก แปลว่าหัวมังกรงอกเขาทอง อีกข้างเขียนว่า โหว - เค้างวดงิ่นเง้ แปลว่าปากเสืองอกเขี้ยวเงิน

ตอนหัวเรือ ด้านตัดถัดปากปลาลงไป ทาสีพื้นแดง ตรงกลางมีตะปิ้งทำด้วยกระดานรูปคล้ายสิงโต สำหรับพาดปากปลา ใจกลางเขียนรูปวงกลมทาสีขาว ฯลฯ

ท้ายเรือตัด ทาสีแดงมีวงกลมสีขาว ใต้วงกลมเป็นตัวหนังสือจีนบอกชื่อเรือ

นายเรือเรียก จุ้นจู๊ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในสินค้าทั้งหมด การเดินเรือเป็นหน้าที่ของฮอจ่างหรือต้นหน ส่วนไต้ก๋ง สมัยนี้ในเรือประมงถือใหญ่ที่สุด สมัยนั้นทำหน้าที่ถือท้าย

เรือสำเภาจะแล่นเข้าอ่าวคราวละ 3-4 ลำ ราวเดือน 3 หรือเดือน 4 แล่นมาตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดลงใต้ และจะแล่นออกไป ราวเดือน 7-8 ให้ทันลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพัดขึ้นเหนือ

จุดที่เรือสำเภาจอดในแม่น้ำเจ้าพระยา จะอยู่แถวปากคลองโอ่งอ่าง ไปทางทิศตะวันตก จอดเรียงกันเป็นสองแถว หันหัวเรือไปทางปากน้ำ ถ้าเรือลำใดมาทีหลัง เรือลำที่จอดอยู่ก่อน ก็จะมีคนตีม้าฬ่อรับ 3 ลา เรือลำที่เข้ามาก็ตีรับ