ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ฉบับตุรแปง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า ค.ศ.1769 พระองค์ได้ทรงแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ต่อประชาชน ความเสียหายเป็นสาเหตุของความอดอยากอย่างมาก ซึ่งเป็นผลข้อหนึ่งที่เกิดจากสงคราม การงานหยุดชะงักลงชั่วคราว และพวกชาวนาก็สามารถทำนาได้เพียงเล็กน้อย
ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายเหล่านี้ พระยาตากได้แสดงความเมตตากรุณา ความขัดสนไม่เป็นเรื่องต้องอดอยากต่อไปอีก ทรงเปิดพระคลังหลวงเพื่อช่วยเหลือ...
ปัญหาทุพภิกขภัยในสมัยกรุงธนบุรีตอนต้นนี้ คงจะได้มีติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ด้วยมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่าแม้ในปีพ.ศ. 2313 ก็ยังต้องทรงซื้อข้าวสารแจกอยู่อีก
ครั้นลุศักราช 1132 ปีขาล โทศก (พ.ศ. 2313)
ฯลฯ... ครั้งนั้นข้าวแพงเกวียนละ 3 ชั่ง ด้วยเดชะพระบารมีบรมโพธิสมภารกำปั่นข้าวสารมาแต่ทิศใต้ ก็ได้เกณฑ์ให้กองทัพเหลือเฟือ แล้วได้ทรงพระบริจาคทานแก่สมณะ ชีพราหมณ์ ยาจก วณิพก และครอบครัวบุตรภรรยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง...
เกี่ยวกับการซื้อข้าวสารแจกจ่ายพระราชทานนี้ มีเกร็ดที่ผู้ใหญ่ท่านเล่าสืบต่อๆ กันมาอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าเมื่อครั้งสมัยต้นรัชกาลที่ 5 แผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น ที่มีท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง เป็นชาวบ้านบางประทุน ฝั่งธนบุรีได้เล่าให้ลูกหลานท่านฟัง ว่าบิดาของท่านได้เกิดทันเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยตนเอง กล่าวคือในช่วงเวลาที่ได้มีการอพยพผู้คน จากกรุงศรีอยุธยาลงมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงธนบุรี นครหลวงแห่งใหม่นี้ และบรรดาราษฎรกำลังเผชิญกับทุพภิกขภัยอดอยากอยู่อย่างหนักนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ของราษฎรในยามนั้นเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงช้างพระที่นั่งเสด็จออกแจกจ่ายข้าวสารเสื้อผ้า พระราชทานแก่ปวงประชาราษฎรด้วยพระองค์เองเป็นประจำทุกวัน บรรดาราษฎรทั้งหลายต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการ เบียดเสียดยัดเยียดเข้าห้อมล้อมชมพระบารมี จนเกือบชิดถึงช้างพระที่นั่ง ด้วยทรงพระปริวิตกห่วงใยในราษฎร ที่อาจจะถูกช้างเหยียบหรือแทงเอา จึงได้ทรงมีพระราชดำรัสตรัสเตือนฝูงชนเหล่านั้นว่า อย่าเข้ามาใกล้ลูก เดี๋ยวช้างมันจะทำร้ายเอา
|