2. ทรงสร้าง ความสมบูรณ์พูนสุข ให้แก่ราษฎรและ ป้องกันความขาดแคลน อันอาจจะเกิดขึ้นอีก เช่น
2.1 ในฤดูหนาวคราวว่างศึกก็โปรดให้ ตัดถนน สำหรับเป็นทางสัญจรไปมาแก่ พ่อค้าประชาชน ตลอดจนการไปมาหาสู่กัน ซึ่งแต่ก่อนมานั้น เรามิค่อยได้มีการตัดถนนกันเลย จึงนับว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทันสมัยอย่างยิ่งพระองค์หนึ่ง
2.2 หากปีใดฝนแล้ง ข้าวปลาอาหารอัตคัด ฝืดเคืองขึ้น เช่น ในปี พ.ศ. 2311 ข้าวสารแพงขึ้นเกวียนละ 2 ชั่ง (160 บาท) ก็โปรดให้ เกณฑ์ข้าราชการให้ช่วยกันทำนาปรัง ทุกแห่งทุกตำบลเป็นการใหญ่ (นาปรัง คือนานอกฤดู) เพื่อมิให้ต้องไปแย่งซื้อข้าวจากราษฎรให้เป็นการเดือดร้อนแก่ราษฎรยิ่งขึ้น (สนั่น ศิลากรณ์ , 2531 : 36-37)
2.3 ทรงโปรดให้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผลิตยาสูบ สีผึ้ง และรัก เพื่อเป็นสินค้าออกด้วย (สุรีย์ ภูมิภมร, 2539 : 78 -79)

การส่งเสริมการทำนา

เมื่อบ้านเมืองสงบราบคาบ ปราศจากข้าศึกมาก่อกวนรังควานแล้ว ราษฎรก็เริ่มทำมาหากินกันตามปรกติ เฉพาะอย่างยิ่งการทำนาอันเป็นอาชีพหลักของสังคมไทยเรามาแต่โบราณ ได้รับการดูแลส่งเสริมจากทางราชการในครั้งนั้นเป็นอย่างดียิ่ง และยังเป็นการช่วยบรรเทาความขาดแคลนข้าวของราษฎรลงเป็นอันมากอีกด้วย

ต่อมาในปีพ.ศ. 2314 ก็โปรดให้ ขยายพื้นที่ทำนา อย่างขนานใหญ่ ด้วยการดัดแปลงเอาที่สวนมาทำเป็นนา ในบริเวณใกล้พระนครนอกคูเมืองออกไปทั้ง 2 ฟาก (ฟากตะวันออก - ฝั่งพระนคร ฟากตะวันตก - ฝั่งธนบุรี) ให้เรียกว่า “ ทะเลตม ” ซึ่งจะอำนวยประโยชน์ในการตั้งค่ายต่อสู้ป้องกันศึก ที่จะยกมาประชิดติดพระนครด้วย

เมื่อเสร็จศึกคราวอะแซหวุ่นกี้ ตีหัวเมืองเหนือ เมื่อกลางปี พ.ศ. 2319 แล้ว ก็โปรดให้เรียกกองทัพทั้งหมดลงมาประชุมพร้อมกันที่กรุงธนบุรี ให้บรรดาแม่ทัพนายกองคุมไพร่พลออกไปทำนา

อาทิ โปรดให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ พระยาธรรมา คุมไพร่พลทั้งปวงทำนา ณ ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรี อนึ่งพระยายมราช พระรายาราชสุภาวดี ตั้งทำนาที่กระทุ่มแบน หนองบัง แขวงนครชัยศรี บริเวณที่โปรดให้ขุนนางคุมไพร่ทำนาคือ บริเวณที่เรียกว่า ทะเลตม อยู่นอกคูเมืองข้างตะวันออก และในเวลาที่ว่างจากสงครามก็โปรดให้ทหารกลับไปทำนาที่บ้านเกิดด้วย