กรมศิลปากรได้เข้าไปสำรวจ และสร้างเขื่อนดินกั้นล้อมบริเวณนั้น และเรียกเรือลำนั้นว่า “ เรือเสม็ดงาม ” ตามชื่อตำบลบ้านที่พบเรือ ปี พ.ศ.2532 โครงการโบราณคดีใต้น้ำ และคณะกรรมการฝึกอบรมหลักสูตรโบราณคดีใต้น้ำระดับสูง ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร และศูนย์สปาฟา ( SPAFA) ได้ทำการขุดค้นซากเรืออีกครั้ง เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและศึกษาโครงสร้างเรือโดยละเอียด ผลการดำเนินงานขุดค้นศึกษาและวิเคราะห์ หลักฐานแวดล้อม ในชั้นแรกนี้ชี้ให้เห็นว่า ซากเรือเสม็ดงาม น่าจะเป็นหลักฐานเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการเตรียมกองทัพเรือ สำหรับการกู้ชาติของพระเจ้าตากสิน ”

“ ...การเตรียมกองทัพเพื่อกู้ชาติของพระเจ้าตากสิน ณ เมืองจันทบูร นั้นไม่ใคร่ปรากฏรายละเอียดมากนัก ในหลักฐานเอกสารแม้แต่ในประชุมพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งเป็นเอกสารที่ถือกันว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าหลักฐานเอกสารฉบับอื่นๆ ก็กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า พระองค์ได้ยกกองทัพเรือและกองทัพบกไปโจมตีชมรมชาวพ่อค้าสำเภาที่ทุ่งใหญ่ (ตราด) และทรงมีชัยชนะเหนือชาวสำเภาทั้งหลาย จีนเจียม ซึ่งเป็นหัวหน้าได้ยอมสวามิภักดิ์และถวายธิดาให้เป็นบาทบริจาริกา

เมื่อเสด็จกลับเมืองจันทบูรแล้วโปรดให้มีการเตรียมกองทัพโดยให้ต่อเรือรบจำนวนมาก ความในพระราชพงศาวดารฉบับเดียวกันกล่าวว่า “ ...ในเวลานั้นก็เสด็จกลับมา ณ เมืองจันทบูร ยับยั้งอยู่ต่อเรือรบได้ 100 เศษ... ” ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าพระเจ้าตากสินได้ทรงนำเอารูปแบบกองทัพเรือ แบบใหม่ มาใช้ในการรบกับพม่า ซึ่งรูปแบบและองค์ประกอบของกองทัพเรือของพระองค์นั้นแตกต่างไป จากกระบวนทัพเรือของกรุงศรีอยุธยา เพราะยุทธปัจจัยสำคัญในการเดินทางคือ
การขุดค้นเรือเสม็ดงามครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ.2532 ดำเนินการโดยโครงการโบราณคดีใต้น้ำ
และคณะผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรโบราณคดีใต้น้ำ ( ST-141a) ของสปาฟา ( SPAFA)
(ภาพจากวารสารศิลปวัฒนธรรม)