กล่าวได้ว่า สงครามคราวเสียกรุงในปี พ..2310 สะท้อนถึงพัฒนาการขั้นสูงของยุทธศาสตร์การใช้ตัวพระนคร เป็นฐานรับศึกในประวัติศาสตร์สงครามไทยรบพม่า เพราะครั้งนั้นเป็นศึกครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผู้นำอยุธยาสามารถรักษากรุงไว้ได้จนถึงฤดูน้ำหลากตามแผนที่วางไว้ โดยที่ตัวพระนครไม่ต้องตกอยู่ในสภาพบอบช้ำ และราษฎรที่หลบภัยสงครามในกำแพงเมืองไม่ต้องเผชิญกับความฝืดเคืองด้านเสบียงอาหาร

การวาง “ แนวปะทะ ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ กองทัพพม่าซึ่งล้อมกรุงมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 เดือน นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ..2309 ไม่สามารถแม้แต่จะบุกเข้าใกล้ตัวกำแพงพระนคร หรือตั้งป้อมปะชิดกำแพงเพื่อใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเช่นที่เคยทำได้ในศึกอลองพญา พม่าทำได้อย่างมากก็แต่เพียงตั้งค่ายล้อมพระนครอยู่ไกลๆ เช่น ทางทิศตะวันตกเข้ามาได้ไม่เกินวัดท่าการ้อง ขณะที่กำลังส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กลางทุ่งประเชต และทุ่งภูเขาทอง ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เข้ามาได้ไม่ถึงวัดไชยวัฒนาราม เพราะทางอยุธยาตั้งค่ายใหญ่กันไว้ ทางด้านตะวันออกเข้าได้ ไม่ถึงวัดพิชัย และเป็นไปได้ว่าตลอดลำคูขื่อหน้าจากหัวรอถึงปากน้ำแม่เบี้ย และคลองสวนพลูยังเป็นเขตปลอดจากการยึดครองของพม่า ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้จากคลองสวนพลู วัดโปรตุเกส ตลอดไปจนถึงวัดพุทไธสวรรค์ และวัดเซนต์โยเซฟยังตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายไทย ส่วนทางทิศเหนือพม่าเข้าได้ไม่ไกลไปกว่าโพธิ์สามต้น และปากน้ำประสบ

พระยาโบราณราชธานินทร์ เขียนไว้ว่า “… เมื่อศึกพม่าติดพระนคร ได้มีตัวข้าราชการที่สามารถเป็นแม่ทัพนายกองนำพลเข้าต่อสู้ข้าศึก แต่ท้าวพระยาเสนาบดีเป็นแม่ทัพที่ไม่ได้รบพุ่งเช่น พระยายมราช เป็นแม่ทัพตั้งอยู่ที่เมืองนนทบุรี พอพม่าตีเมืองธนบุรีได้ กำปั่นลูกค้าอังกฤษซึ่งรับอาสาต่อสู้พม่าถอยหนีขึ้นมา พระยายมราชยังไม่ทันรบก็พลอยเลิกทัพถอยหนีไปด้วย พระยาพระคลัง เป็นแม่ทัพถือพล 10,000 คน ยกออกไปตีค่ายพม่าที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบ พม่ายิงปืนมาต้องพลทัพไทยล้มลง 4 – 5 คน กองทัพตั้งมั่นก็ถอยออกมาสิ้น อยู่มา 2 – 3 วัน มีรับสั่งให้พระยาพระคลังออกไปตีค่ายพม่าที่ปากน้ำประสบอีก ยังไม่ได้ทันรบ พม่าแต่งกลหลอกให้เข้าใกล้ แล้วออกไปไล่ยิงแทงพลทัพตายลง กองทัพใหญ่ก็แตกพ่ายเข้าพระนคร ” ( ทวน บุณยนิยม , 2513 : 37)

การรบทางเรือ ตอนหนึ่งพระราชพงศาวดารบันทึกไว้ว่า เมื่อฝ่ายในกรุงเห็นว่าทางปืนใหญ่ ฝ่ายข้าศึกจะยิงถึงพระนครได้ ก็ให้กองทัพเรือยกออกไปตีค่ายพม่า กองทัพเรือที่ยกออกไปครั้งนี้เป็นพวกกรมทหารอาสาหกเหล่า เรื่องกล่าวไว้ว่ามีนายฤกษ์ถือดาบสองมือรำไปข้างหน้าเรือ พอพม่ายิงปืนมาถูกนายฤกษ์ตกน้ำลง กองทัพเรือก็ถอยคืนเข้ากรุงทั้งหมด