4.1 พม่ายกกองทัพมาครั้งนี้มีลักษณะอย่างไร ?
มีผู้กล่าวว่าดูเหมือนว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงเป็นพระองค์แรกที่กล่าวถึงกองทัพพม่า ที่ยกมาครั้งนี้ว่าเป็นการ “ มาอย่างกองโจร ” กล่าวคือขาดกำลังที่จะยกหักเข้าชิงชัยในพระนคร แต่เที่ยวปล้นสะดมอยู่โดยรอบเป็นเวลา 3 ปี กว่าจะสามารถหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ว่า “ ...กองทัพพม่าเป็นกองทัพโจรมิใช่ทัพกษัตริย์ ขาดแม้แต่เป้าหมายที่ชัดเจนว่า จะตีกรุงศรีอยุธยา เพราะจุดหมายเดิมเพียงแต่ต้องการปราบปรามเมืองทวาย แต่มาพบว่ากองทัพไทยอ่อนแอ จึงได้ยกล่วงล้ำเข้ามาจนถึงชานพระนคร พระองค์ไม่ทรงรับรองข้อความในพระราชพงศาวดารพม่าที่ว่า พม่ากำหนดแผนการให้มีทัพจากทางเหนือ และทางใต้ยกเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยาพร้อมกัน ทรงเห็นว่าความคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่พระราชพงศาวดาร พม่าแต่งขึ้นเองในภายหลัง... ” ( ไทยรบพม่า , 2507 : 311-314)

สุเนตร ชุตินธรานนท์ (2543 : 79-83) ได้ให้ข้อคิดเห็นดังนี้ “ ที่ผ่านมาความรู้ความเข้าใจเรื่องสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งหลัง พ.ศ.2310 ในแวดวงการศึกษาไทยจำกัดอยู่ภายใต้เพดานทางความคิดที่ว่า กองทัพพม่ายกมากระทำการนั้น “ มาอย่างกองโจร ” คือทัพที่ยกมาไม่ได้มาเยี่ยงทัพกษัตริย์ ไพร่พลที่รวบรวมมาก็มีจำนวนน้อย ขาดการวางแผนล่วงหน้า เพียงพอเห็นฝ่ายอยุธยาอ่อนแอก็ยกล่วงเลยกันเข้ามา นอกจากนี้กองทัพที่ยกมาทั้งทางเหนือและทางใต้ยังกระทำการอย่างเป็นอิสระแก่กันอีกด้วย

ในทางกลับกัน พงศาวดารฉบับหอแก้ว และ คองบอง ระบุต้องกันว่า พระเจ้ามังระทรงโปรดให้เตรียมการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างเป็นระเบียบแบบแผน พระเจ้ามังระถึงกับทรงมีพระราชดำริว่า อาณาจักรอยุธยานั้นยังไม่เคยถึงกาลต้องถูกทำลาย ลงอย่างย่อยยับเด็ดขาดมาก่อน ฉะนั้นจะอาศัยแต่เพียงทัพของเนเมียวสีหบดี (Neimyo Thihapate) ที่ยกไปทางเส้นเชียงใหม่ แต่เพียงทัพเดียว ย่อมยากต่อการกระทำการให้สำเร็จโดยง่าย จำต้องจัดทัพให้มังมหานรธา (Mahanoratha) ยกไปช่วยกระทำการอีกด้านหนึ่ง ”