“… พงศาวดารหอแก้วพรรณนาเหตุการณ์เกี่ยวกับมังระ แต่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาไว้อย่างยืดยาวมาก พิมพ์ได้ถึง 40 หน้ากระดาษ แต่พอที่จะสรุปได้ตามที่เซอร์ อาเธอร์ แฟร์ ได้เขียนไว้ดังนี้ : มังระได้รับกำลังวังชาและความถนัดทางทหารเป็นมรดกมาจากพระบิดา ( อลองพญา ) และในไม่ช้า ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ทรงเตรียมการที่ จะตีกรุงศรีอยุธยาเพื่อแก้แค้นแทนพระเจ้าอลองพญาที่ถูกไทยสบประมาท โดยเพิ่มทหาร 20,000 คนให้แก่ เนเมียวสีหบดี (Nemyo Thihapate) เป็นแม่ทัพใหญ่เรียกว่า กองทัพฝ่ายเหนือ เนเมียวสีหบดีนี้ ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เรียกว่า โปสุพลา (สังข์ พัธโนทัย, ม.ป.ป. : 130)

3.4 การปฏิบัติการของเนมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่ของกองทัพพม่าฝ่ายเหนือเป็นอย่างไร ?
เนเมียวสีหบดีไปถึง เชียงใหม่ ก็ปราบปรามทั่วทั้งแคว้นอย่างราบคาบ เชียงใหม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชา และเพื่อมิให้ถูกตลบหลังก็ยกไปบุก ล้านช้าง ซึ่งกษัตริย์ล้านช้างผู้ทรงนำทัพเองพ่ายแพ้อย่างยับเยินทรงยินยอมเป็นประเทศราชของพม่า หลังจากนั้นแม่ทัพพม่าก็เข้าควบคุมเมืองไทยใหญ่ สั่งให้เตรียมอาวุธให้กองทัพ กลางเดือนสิงหาคมปีนั้นเนเมียวสีหบดีก็มีกำลังพลถึง 40,000 คน ส่วนใหญ่เป็นไทยใหญ่ จึงยกทัพมุ่งใต้สู่เมืองตากเป็นที่หมายแรก

การรบ เมืองตาก เจ้าเมืองตากเห็นว่า ข้าศึกมีกำลังมากก็ตั้งรับอยู่ในเมือง ทหารพม่าก็ทำการรบอย่างห้าวหาญและสามารถยึดเมืองตากได้ในระยะเวลาอันสั้น  จากนั้นก็เคลื่อนที่ไปยังเมืองระแหง พม่ายึดเมืองระแหงได้ เพราะเจ้าเมืองยอมอ่อนน้อม เมืองกำแพงเพชร ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งที่พม่ายึดได้อย่างง่าย  จากนั้นพม่าก็เคลื่อนที่ไปยังลุ่มแม่น้ำยมเพื่อเข้าตีเมืองสวรรคโลก เจ้าเมืองสวรรคโลกเตรียมการต่อสู้ไว้อย่างเข้มแข็งเป็นเหตุต้องให้พม่าใช้กำลังเข้าปฏิบัติการ ซึ่งในที่สุดก็ยึดได้ ต่อจากนั้นก็เคลื่อนที่ลงไปยังสุโขทัย เจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมโดยดี ต่อจากนั้นก็ตรงไปยังเมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกมีป้อมปราการแข็งแรงไม่ยอมอ่อนน้อมง่ายๆ พม่าต้องใช้กำลังเข้าตีอีกจึงยึดเมืองได้