มีกำลังพล 24,000 คน โดยมีเรือใหญ่ 600 ลำ ทั้งนี้ทรงตั้งมินกองนรธา เป็นแม่ทัพรอง และให้ทหารรักษาพระองค์ชาวปอร์ตุเกสติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด ทัพหลังมี 10 หน่วย ซึ่งครึ่งหนึ่งมีกำลังพล 5,500 คน เรือขนาดใหญ่ 100 ลำ ทรงให้โอรสองค์ที่สาม คือ เจ้าธาโด มินฮลาดยอว์ เจ้าเมืองอเมียง ( ไทยเรียกมังโป ) เป็นแม่ทัพ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทรงให้โอรสองค์ที่สี่ คือ เจ้าธาโด มินซอว์ เจ้าเมืองปดุง ( ไทยเรียก มังเวง ) เป็นแม่ทัพ (ชูสิริ จารมาน , 2527 : 62)

3.2 ทำไมพม่าสมัยพระเจ้าอลองพญาจึงมาตีกรุงศรีอยุธยา ?

ภายหลังการฉลองศาลาที่พระเจดีย์ชเวดากองใน พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงได้ข่าวว่า ไทยได้บุกรุกดินแดนทวาย และยึดเรือพม่าไว้ 4 ลำ จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงพระพิโรธ เพราะว่าเป็นการสบประมาทต่ออำนาจและศักดิ์ศรีของพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จะยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา แต่บังเอิญให้มีอาเพท เกิดฟ้าผ่าลงกลางเมือง 7 ครั้ง โหรได้ทูลทัดทานว่าเป็นทุนิมิต ทิศที่ตั้งกรุงศรีอยุธยาเล่าก็เป็นกาฬกิณีกับดวงกำเนิดของพระเจ้าอลองพญา ( http://www.worldbuddhism .net/ buddhism-history/Burma.html , 14/7/2547) และอำมาตย์ใกล้ชิดกราบทูลคัดค้านว่า ตามดวงพระชะตาของพระองค์นั้น พระองค์กำลังโชคร้าย พระองค์ไม่ทรงฟังเสียงคัดค้านแต่อย่างใด ได้ยกทัพพม่ามาทางเมืองเมาะตะมะ และเมืองเมาะลำเลิง (Mawlamuaing มะละแหม่ง ) แล้วรุกลงมาทางเมืองทวายและเมืองมะริด (Myrik) และเมืองตะนาวศรี

พม่ายกกองทัพเข้าตีเมืองทวาย มะริด ตะนาวศรีได้อย่างง่ายดายจนพม่าเองก็แปลกใจ รู้สึกว่าไทยอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ พระเจ้าเอกทัศน์ส่งกองทัพออกไปตั้งรับพม่า 2 กองทัพคือ กองทัพพระยายมราช ยกไปตั้งที่ “ แก่งตุ่ม ” ( เชื่อกันว่าอยู่ต้นแม่น้ำตะนาวศรีในเขตพม่า ) กองทัพพระยารัตนาธิเบศร์ยกไปรับที่กุยบุรี เมื่อพม่าตีได้เมืองทั้งสามของไทยแล้ว จึงเดินทัพเข้าหากองทัพพระยายมราชที่แก่งตุ่ม พม่าใช้ความพยายามไม่มากนัก กองทัพพระยายมราชก็แตกง่ายดาย