สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท

19.9 เจ้าพระยาสุรสีห์
ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท เดิมชื่อ บุญมา
เมื่อทรงเจริญวัยได้ 16 พรรษา พระราชบิดาได้ทรงนำตัวเข้าถวายเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยามรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทำงานอยู่ 3 ปี ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพร ( “นายสุดจินดา” เป็นบรรดาศักดิ์ (แบบนายวรการบัญชา) ส่วน หุ้มแพร เป็นยศเท่ากับยศร้อยเอกในปัจจุบัน)

ขณะที่กรุงศรีอยุธยาถูกข้าศึกตั้งทัพล้อมอยู่ เมื่อพ.ศ.2310 นั้น นายสุดจินดาเห็นว่ากรุงต้องแตกเสียแก่ข้าศึกเป็นแน่นอน หากขืนอยู่ต่อไป ก็จะถูกพม่าจับเป็นเชลยหรืออาจถูกฆ่าตาย ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใด สู้หนีออกไปเสียก่อน แล้วหาหนทางร่วมมือกับผู้สามารถ กลับมากู้บ้านเมืองในภายหน้าจะดีกว่า ดังนั้นนายสุดจินดากับเพื่อนอีก 3 คน จึงใช้อุบายหลบหนีจากกรุงศรีอยุธยาหลบหลีกข้าศึกล่องเรือไปตามลำน้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้ มุ่งไปเฝ้าเจ้าตากซึ่งรวมพลตีฝ่าข้าศึกออกจากกรุงศรีอยุธยาทางทิศตะวันออก สามารถไปรวมพลได้ที่เมืองจันทบุรี เพื่อช่วยจัดการกองทัพเข้ามากู้กรุงศรีอยุธยา ให้พ้นจากเงื่อมมือของพม่า

เจ้าตากทรงรู้สึกดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นนายสุดจินดาไปพบ เพราะเคยรับราชการร่วมกัน และมีความคุ้นเคยรักใคร่กันมาก่อน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังรุ่งเรืองอยู่ เจ้าตากจึงแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งนายสุดจินดาเป็ นพระมหามนตรี เจ้ากรมตำรวจในขวา ศักดินา 2,000 ขณะนั้น พระมหามนตรี (บุญมา) มีพระชนม์เพียง 24 พรรษาเท่านั้น

พระมหามนตรี (บุญมา) หรือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในกาลต่อมานั้น หากจะพูดอย่างภาษาธรรมดาสามารถกล่าวได้ว่า “ท่านเกิดมาเป็นนักรบโดยสายเลือด” หรือ “เกิดมาพร้อมด้วยดาบอยู่ในมือ” ตลอดชีวิตมีแต่คุมกำลังทหารไปรบที่นั่นที่นี่ทั่วทุกทิศ และสามารถรบชนะแทบทุกครั้ง ถึงกับแม่ทัพพม่าที่เป็นคู่อริ (อะแซหวุ่นกี้) ได้ตั้งสมัญญาว่า “พระยาเสือ” ซึ่งตรงกับพระนามที่ได้รับอุปราชาภิเษกว่า “ มหาสุรสิงหนาท ” และสามารถกล่าวได้ว่า ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ อยู่ที่ความเป็นนักรบโดยแท้ทีเดียว พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาเป็นนักรบปรีชาสามารถในการรบ งานราชการสงครามที่พระองค์ทรงร่วมรบด้วยและทรงเป็นแม่ทัพรวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง อาทิ