ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงมีทะแกล้วทหารหาญคู่พระทัยหลายคน คือ
1. พระยาสุรบดินทร์
2. พระยาอนุรักษ์ภูธร
3. พระยากำแหงสงคราม
4. พระยาพิชัยดาบหัก
5. พระยาท้ายน้ำ
6. พระยาพิพิธราชา
7. เจ้าพระยาจักรี (แขก)
8. เจ้าพระยาพิชัยราชา (หรือพิไชยราชา)
9. เจ้าพระยาสุรสีห์
10. สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ

19.1 พระยาสุรบดินทร์ เดิมเป็นเจ้าเมืองชัยนาท ต่อมาโปรดฯ ให้เป็นพระยากำแพงเพชรในคราวชนะศึกเจ้าพระฝาง (เมืองสวางคบุรี) และเมื่ออะแซหวุ่นกี้ยกทัพกลับไปพม่าทางเมืองตาก โปรดฯ ให้เป็นกองหลวงตามตีกองทัพพม่า (ทวน บุณยนิยม, 2513 : 98, 150)

19.2 พระยาอนุรักษ์ภูธร ได้รับพระราชทานยศให้เป็นพระยานครสวรรค์ในการต่อสู้ต้านทัพศึกเจ้าพระฝาง ต่อมาเมื่อมีศึกอะแซหวุ่นกี้ ก็ได้เป็นนายทัพควบคุมกองกำลังที่วัดจันทร์ท้ายเมืองพิษณุโลก และในการศึกราชบุรีท่านได้ขึ้นไปช่วยพระยาธิเบศร์บดีในการสู้กับพม่า ท่านเคยป็นกองหน้าโดยมีพระมหามณเฑียรเป็นแม่ทัพยกไปสู้พม่า ซึ่งยกพลไปบ้านส้มป่อย รบพุ่งติดพันกัน อีกครั้งหนึ่งพระยาอนุรักษ์ภูธรตามตีกองทัพกะละโบ่ออกไปทางเมืองเพชรฯ และครั้งหลังสุดโปรดฯ ให้เป็น ยกกระบัตรไปตีนครกัมพูชา จะเห็นได้ว่าพระยาอนุรักษ์ภูธรกรำศึกตลอดรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ทวน บุณยนิยม, 2513 : 98, 128, 141, 145, 162)

19.3 พระยากำแหงสงคราม เดิมชื่อขุนชนะ เป็นกรมการเมืองนครราชสีมา ผูกใจเจ็บเจ้าพิมายว่าเป็นผู้ฆ่าเจ้าพระยานครราชสีมานายเก่าตนตาย จึงรับอาสาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปจับตัวเจ้าพิมายมาได้ จึงทรงตั้งขุนชนะเป็น พระยากำแหงสงคราม ครองเมืองนครราชสีมา พระยากำแหงสงครามกรำศึกมาทุกสมรภูมิกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อาทิ ทรงให้พระยานครราชสีมายกไปประชิดค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม จังหวัดราชบุรีในคราวศึกบางแก้วที่ล้อมพม่าจนอดอยาก ให้พระยานครราชสีมาไปช่วยพระยานครสวรรค์ข้างด้านใต้ ในศึกอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก และให้คุมกำลังป้องกันการลำเรียงขึ้นไปตีที่พิษณุโลก แต่เข้าเมืองไม่ได้ต้องคุมเสบียงกลับคืนมาค่ายหลวง