โดยเจ้าพระยานครน้อยได้นำทัพเมืองนครฯ สงขลาและพัทลุง เข้าโจมตีไทรบุรีพร้อมกัน มีพลทั้งหมด 7 , 000 คน ทั้งทัพบกและทัพเรือ ทางฝ่ายไทยเสียพลไป 700 คนแต่ทางฝ่ายไทรบุรี เสียพลไป 1,500 คน ส่วน พระยาไทรบุรีปะแงรันได้พาสมัครพรรคพวก หลบหนีไปอาศัยอยู่อังกฤษที่เกาะหมาก (ปีนัง) เป็นอันว่าเมืองไทรบุรีต้องตกอยู่ในอำนาจของเจ้าพระยานครน้อยตั้งแต่นั้นมา

เมื่อตีไทรบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยานครน้อยก็มอบหมายให้ “ พระภักดีบริรักษ์ (แสง) ” บุตรชายของตนเองเป็นผู้รักษาเมืองไทรบุรี และให้บุตรอีกคนหนึ่งชื่อนายนุช เป็นปลัดเมืองไปพลางก่อน ส่วนตนเองได้กราบบังคมทูลไปยังพระบาทสมเด็จพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ของพระภักดีบริรักษ์ (แสง) ขึ้นเป็นที่ “ พระยาอภัยธิเบศร มหาประเทศราชธิบดินทร์ อินทรไอสวรรย์ขัณฑเสมา มาตยานุชิตสิทธิสงครามรามภักดี พิริยา พาหะพระยาไทรบุรี ” และโปรดให้เลื่อนนายนุชขึ้นเป็นที่ “ พระเสนานุชิต ” ในตำแหน่งปลัดเมืองไทรบุรี

ในปีเดียวกันนั่นเองพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณโปรดเกล้าให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระยานครศรีธรรมราช เป็น “ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ” และพระราชทานเมืองไทรบุรี เมืองเประ ให้อยู่ในสิทธิ์ขาดของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในฐานะผู้สำเร็จราชการปกครองดูแลเมืองทั้ง 2 ตั้งแต่นั้นมา ทำให้ฐานะของเจ้าพระยานครน้อยเด่นและสูงขึ้นทางการเมืองเป็นอย่างมาก

ครั้งที่ 2 ยกไปตีไทรบุรีใน พ.ศ.2365 ในปีดังกล่าวเกิดกบฏขึ้นในไทรบุรี โดยตนกู มหะหมัด ตนกูโยโส และรายาปัตตานีซินดรา ซึ่งเป็นญาติของพระยาไทรบุรีปะแงรัน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในเมืองไทรบุรี ได้นำสมัครพรรคพวกประมาณ 2,000 คนคบคิดกันทำการกบฏ ในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แต่เจ้าพระยานครศรีธรรมราชรู้เรื่องเสียก่อน จึงสามารถตีกบฏจนแตกพ่ายไปไม่ทันรู้ตัว

ครั้งที่ 3 ยกไปตีไทรบุรีใน พ.ศ.2369 การตีไทรบุรีทุกครั้งที่ผ่านมา แม้ฝ่ายไทรบุรีพ่ายแพ้ทุกครั้ง นั้นเป็นเพราะความจำยอม บ้านเมืองหาได้สงบอย่างแท้จริงไม่ คงมีคลื่นใต้น้ำอยู่ตลอดเวลา เพราะพระยาไทรบุรีปะแงรันถือว่าเมืองไทรบุรีเป็นของตน โดยได้สืบมรดกตกทอดมาแต่ปู่ย่าตาทวด และพยายามเอาคืนอยู่ตลอดเวลา จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากอังกฤษแต่ทางอังกฤษวางเฉย ดังนั้นพระยาไทรบุรีปะแงรันจึงมีหนังสือทักท้วงไปยังผู้ว่าราชการเกาะปีนังชื่อ “ฟูลเลอตัน” มีใจความว่า “ถ้าบริษัทอังกฤษไม่ช่วยเหลือตนแล้วก็จะขอไปตามโชคชะตาของตนเอง แต่ไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญา “เบอร์นี่” ได้เพราะถือว่าเมืองไทรบุรีไม่ได้เป็นของกำนัลที่ตนได้รับมาจากไทย หรือได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าเมืองจากไทยแต่ประการใดก็หาไม่ เมืองไทรบุรีเป็นสมบัติของพระยาไทรบุรีปะแงรัน โดยผ่านทางการเมืองสืบมรดกตกทอดมาจากปู่ย่าตาทวดต่างหาก ตนจะยอมตายเสียดีกว่าที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญา”