แต่ก็มีผู้คนที่ใกล้ชิดอีกจำนวนมากไม่เชื่อเช่นนั้นจึงยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์สืบมา อย่างน้อยที่สุดก็มีขุนนางร่วม 100 คน ที่ถูกล้างไปในการล้มราชบัลลังก์ของพระองค์ ดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์หมอบรัดเลย์ว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ “จึ่งดำรัสให้เอาขุนนางสามสิบเก้าคนนั้นไปประหารชีวิตเสีย ” ส่วนกรมพระราชวังบวรฯ “ให้ตำรวจไปจับตัวข้าราชการทั้งปวงบันดาที่มีความผิดขุ่นเคืองกับพระองค์มาแต่ก่อน ให้ประหารชีวิตเสียสิ้นทั้งแปดสิบคนเศษ ”

เรื่องการล้างแผ่นดินกันในครั้งนี้สอดคล้องกับหลักฐานชั้นต้นอีกชิ้นหนึ่งคือ “คำปรึกษาตั้งข้าราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1” ซึ่งได้ตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ในทำเนียบข้าราชการร่วมร้อยคน ทำให้เข้าใจได้ว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนก็คงจะถูกประหารชีวิตไปแล้ว บุคคลจำนวนร่วมร้อยหรือร้อยเศษเหล่านี้คงไม่ยอมเสียชีวิตให้แก่คนที่เขาเห็นว่าวิกลจริตเป็นแน่ ความเห็นของคนเหล่านี้ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งแม้ในยามที่ถูกพระยาสรรค์ควบคุมตัวก็ยังมีพระสติบริบูรณ์พอ ที่จะกล่าวแก่เขาว่า “สิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย” และทรงรู้ทันพระยาสรรค์พอที่จะทรงอุทาน เมื่อพระราชาคณะกราบทูลให้ออกบรรพชาว่า “เอ้หิภิกขุลอยมาถึงแล้ว” จึงน่าจะเป็นว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระสติสัมปชัญญะบริบูรณ์เยี่ยงสามัญชนธรรมดา

เมื่อพิจารณาประเด็นนี้ในสภาพแวดล้อมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปลายรัชสมัย ปัญหาเรื่องวิกลจริตจึงเป็น “ความเห็น” ของคนสมัยนั้นเท่ากับคนสมัยนี้ กล่าวคือมีคนกลุ่มหนึ่งมี “ ความเห็น ” (โดยบริสุทธิ์ใจหรือไม่ก็ตาม) ว่าทรงเสียพระจริตไปแล้ว ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมี “ความเห็น” (โดยบริสุทธิ์ใจหรือไม่ก็ตาม) ว่าทรงมีพระอาการเป็นปกติ

ในเงื่อนไขของปัจจุบัน ปัญหาเรื่องการวิกลจริตของพระเจ้ากรุงธนบุรีผูกพันอยู่กับการขึ้นครองราชสมบัติ ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ประเด็นที่แฝงอยู่ในเวลาพิจารณาเรื่องนี้จึงเป็นว่า หากพระเจ้ากรุงธนบุรีมิได้เสียพระจริตจนฟั่นเฟือนไปแล้ว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็ทรงแย่งราชสมบัติจากพระเจ้ากรุงธนบุร

น่าประหลาดที่ว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เองและผู้นำไทยในต้นรัตนโกสินทร์จนถึงรัชกาลที่ 3 เป็นอย่างน้อย มิได้พยายามจะปิดบังเลยว่าเจ้าพระยาจักรี “ชิงราชสมบัติ” จากพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งถูกเรียกในสมัยนั้นไว้หลายอย่างเช่น “ขุนหลวงตาก” “ อีตาตาก” “เจ้าที่ล่วงไปแล้ว” “ พระยาตาก” (แต่ไม่เคยพบที่ใดซึ่งเรียกพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ 1 ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ) คำเรียกพระนามอันส่อความไม่เคารพเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และผู้นำอื่นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรที่เจ้าพระยาจักรี จะต้องแย่งชิงราชสมบัติจากพระเจ้ากรุงธนบุรีี