“... พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแสดงพระองค์ยิ่งกว่าอัครพุทธศาสนูปถัมภกอันเป็นบทบาท ของสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ต้นรัชกาลแล้ว หลังศึกอะแซหวุ่นกี้ มีหลักฐานว่า ทรงใฝ่พระทัยในทางศาสนายิ่งขึ้น ... ลักษณะที่ทรงใฝ่พระทัยในทางศาสนานั้น พระราชพงศาวดารกล่าวว่า เสด็จไปเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถวัดบางยี่เรือใต้ นับตั้งแต่ พ.ศ.2319…

… อิทธิปาฎิหารย์จากความสำเร็จทางด้านจิตเนื่องจากเจริญพระกรรมฐานนี้ มีกล่าวถึงในหลักฐานของชาวฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ซึ่งก็ย่อมบรรยายอิทธิปาฏิหาริย์นี้ในรูปที่เป็นของเหลวไหลไร้สติตามคติความเชื่อของชาวตะวันตกในยุคนั้น ...

... ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นปีที่บาทหลวงเขียนรายงาน ... นักธรรมชาติวิทยาชาวเดนมาร์กชื่อ ดร.กุนิค ได้กล่าวถึงความพยายามทางศาสนาของพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ในทำนองเดียวกัน (ว่า)

... พระองค์ทรงเชื่อตามลัทธิศาสนาของคนไทยว่า วันหนึ่งพระองค์จะเป็นพระเจ้า ( บรรลุพุทธธรรมหรืออรหัตผล ) ความสามารถในการกำหนดลมหายใจให้ละเอียดจนกระทั่งสามารถสังเกตเห็นอาการเคลื่อนไหวใดๆ ของกลางท้องได้ ... ประกอบด้วยความสามารถในการนั่งนิ่งได้จริงๆ เป็นชั่วโมง ด้วยท่าทำสมาธิ ...”

โดยที่ผมได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมามากพอสมควร จึงเชื่อมั่นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงเจริญพระกรรมฐานด้วยพระราชศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา จนกระทั่งได้ทรงบรรลุมัคคญาณ ผลญาณระดับหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นอริยบุคคล ส่วนจะบรรลุถึงระดับโสดาบันหรือเหนือกว่าระดับใดนั้น พระองค์ท่านเท่านั้นที่จะทรงทราบ

นับตั้งแต่เริ่มกอบกู้เอกราชชาติไทยไปจวบจนสิ้นรัชกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงปฏิบัติพระองค์ในลักษณะที่ผิดแผกจากพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในลักษณะพ่อกับลูก ทรงใช้สรรพนามแทนพระองค์ว่า “ พ่อ ” และแทนประชาชนกับข้าราชการข้าทหารน้อยใหญ่ว่า “ ลูก ” ทุกครั้ง