ซึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมและยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นทั้งพระสหายร่วมสาบานและทหารเอกที่ได้ร่วมกันต่อสู้อริราชศัตรูอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ตลอดจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะสั่งให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ที่ฝาผนังของพระวิหารวัดอินทาราม บางยี่เรือ ธนบุรี มีหินอ่อนจารึกพระดำรัสของพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เมืองพุทไธมาศ ในปี พ . ศ .2314 มีข้อความว่า มิได้ทรงปรารถนาสมบัติพัสถานอันใด หากผู้ใดสามารถอยู่ในราชสมบัติให้สมณชีพราหมณ์และประชาราษฎร์เป็นสุขได้ จะยกสมบัติให้แก่ผู้นั้น เพื่อจะไปบำเพ็ญสมณธรรม แสวงหาโพธิญาณ

พระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ว่า ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ จึงอาจเป็นไปได้ที่ทรงเบื่อหน่ายในราชสมบัติ และได้ทรงพิจารณาเห็นว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงเหมาะสม ที่จะครองราชสมบัติต่อไปจึงทรงออกอุบายทำเป็นพระสติวิปลาส แล้วทรงหนีไปผนวชที่เมืองนครศรีธรรมราช ”

ในปีมะแม พ.ศ.2318 พระองค์ได้ทรงเผยโครงการณ์สร้างชาติถวายพระราชาคณะฝ่ายสงฆมณฑลทราบ ทรงกำหนดเวลาสร้างชาติว่าจะสิ้นสุดลงปีมะเส็ง สัปตศก พ.ศ.2328 ดินแดนแหลมไทยจะกลับเป็นของไทยตามเดิมทั้งหมด และเมื่อวางรากฐานมั่นคงดีแล้ว พระองค์จะได้ทรงพักผ่อนพระราชภาระเพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่อไป แต่ยังมิทันครบกำหนดตามที่ทรงมีพระราชดำริ พอขึ้นปีขาล พ.ศ.2325 วันที่ 6 เมษายน ก่อนเที่ยงวัน พระองค์ก็สวรรคต ณ พระวิหารวัดอรุณราชวราราม เป็นอันว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเสียก่อนครบกำหนดสร้างชาติไทย 4 ปี (พ.ย.ร. งานสร้างชาติไทยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช , 2496 : 79)

ฉ . พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ (2543 : 2-7) มิได้เห็นด้วยกับเรื่อง “ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงมีพระสัญญาวิปลาสจริงหรือไม่ ? ” โดยได้ให้ข้อคิดดังนี้
ได้ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในเอกสารประวัติศาสตร์คือ ประชุมพระราชพงศาวดารและจดหมายต่าง ๆ รวมทั้งรายงานของบาทหลวงชาวต่างประเทศที่ได้บันทึกไว้ในสมัยนั้นที่กล่าวถึง เรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ใฝ่พระทัยในพระพุทธศาสนา ทรงสนพระทัยศึกษาปฏิบัติธรรมตามแนวคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง ได้ทรงสะสมบุญบารมีมาโดยตลอดจนวาระที่สุดของพระชนมชีพไว้ดังนี้