ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน 12 แรม 1 ค่ำ บังเกิดทุนิมิตบนอากาศ เมฆปรากฏเป็นต้นกระแพงฝ่ายบูรพา
ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน 1 แรม 9 ค่ำ มีผู้เป็นโจทย์มาฟ้องพระยาราชาเศรษฐีญวนว่า คิดจะหนีเข้าเมืองพุทไธมาศ จึงดำรัสให้จับพระยาราชาเศรษฐีญวนกับพวกญวนให้ประหารชีวิตเสีย 31 คนด้วยกัน
ครั้น ณ วันพุธ เดือน 2 แรม 12 ค่ำ ให้ประหารชีวิตนักโทษ 9 คน
2. ทรงให้นำพระสนม พระราชโอรส แม้พระรัชทายาท เข้าที่คุมขังทรมานและเฆี่ยนตามอารมณ์ (จุลจักรพงศ์, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า, 2514 : 131)
ในเดือน 12 นั้น เจ้าพระยาพิไชยราชา (ไม่ใช่พระยาพิไชยดาบหัก) ผู้เป็นเจ้าเมือง เมือง สวรรคโลก ลงมารับราชการอยู่ ณ กรุง แต่งผู้เฒ่า ผู้แก่ เข้าไปขอน้องสาวเจ้าจอมฉิมพระสนมเอก ผู้เป็นบุตรเจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในพระราชวัง จะมาเลี้ยงเป็นภรรยา ครั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงทราบ ก็ทรงพิโรธ ดำรัสว่า มันทำบังอาจจะมาเป็นคู่เขยน้อยเขยใหญ่ กับกูผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงดำรัสให้เอาตัวเจ้าพระยาพิไชยราชาไปประหารชีวิตเสีย ตัดศีรษะเสียบประจานไว้ที่ริมประตูข้างฉนวนลงพระตำหนักแพ อย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่างสืบไปภายหน้า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กอบกู้อิสระเสรีขึ้นครองราชกรุงธนบุรีแล้วทรงให้พระราชวงศ์ ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นชายาหลายองค์ เช่นหม่อมเจ้าหญิงบุษบา หรือบุบผา หม่อมเจ้าหญิงประทุมพระธิดาในพระราชวังบวรกรมขุนเสนาพิทักษ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) หม่อมเจ้าหญิงอุบลในกรมหมื่นเทพพิพิธ พระองค์หญิงฉิมพระธิดาในเจ้าฟ้าจีด บรรดาชายาทั้งหลายนั้นทรงโปรดหม่อมฉิมกับหม่อมอุบลมาก จึงทรงโปรดให้บรรทมบนพระที่ทั้งขวาซ้ายคนละข้าง นอกนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงโปรดตามสมควร อยู่ต่อมาเกิดเรื่องหนูกัดพระวิสูตรในห้องพระบรรทม ทรงทราบถือว่าเป็นเหตุวิบัติที่อุบาทว์ ในครั้งนั้นมีฝรั่งชาติโปรตุเกส เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์ ทรงโปรดทั้งคู่ เรียกออกชื่อเป็นภาษาไทยตามตำแหน่งว่า ชิตภูบาล ชาญภูเบศร์ ตรัสให้ค้นหา ( หนู ) ให้ได้ ทั้งในพระที่บรรทมและใต้พระที่เสวย และในการที่ทรงโปรดหม่อมทั้งสองอย่างออกหน้า ก็เลยทำให้เกิดการหึงหวงเกิดขึ้นภายใต้เศวตฉัตรแห่งพระราชวังเดิม โดยมีผู้ฟ้องขึ้น (คือหม่อมเจ้าหญิงประทุม : จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี , หน้า 3) ภายหลังฝรั่งทั้งสองเข้าไปค้นหาหนูว่า
|