ปรากฎว่าคณะราชทูตไทยที่ออกเดินทางไปกระชับสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีนครั้งนั้น ได้คุมเรือสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปด้วยเป็นจำนวนถึง 11 ลำ คำนวณมูลค่าสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปในครั้งนั้นเป็นเงินทั้งสิ้นถึง 2,443 ชั่ง 15 ตำลึง 1 บาท 3 สลึง 1 เฟื้อง หากคิดเทียบกับค่าของเงินในปัจจุบันก็เห็นจะไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท

(รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องสินค้าที่ส่งออกไปพร้อมกับคณะราชทูตในครั้งนั้นมีแจ้งอยู่ในพระราชวิจารณ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี)

แสดงว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในตอนปลายสมัยกรุงธนบุรีนั้น อยู่ในขั้นมั่งคั่งพอดูทีเดียว

คณะราชทูตที่คุมสำเภาหลวง 11 ลำเดินทางออกไปยังเมืองจีนคราวนั้น ได้ออกจากท่ากรุงธนบุรีไป เมื่อวันอังคาร เดือน 7 แรม 13 ค่ำ ปี พ.ศ.2324

ในพระราชสาส์นที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีไปยังพระเจ้ากรุงจีนครั้งนั้น ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในจดหมายเหตุจีนว่าทรงออกพระนามพระองค์เอง เป็นภาษาจีนว่า “ แต้เจียว ” โดยมีความเต็มเมื่อออกพระนามในจดหมายเหตุจีนว่า “ เสี้ยมหลอก๊กเจี๋ยงแต้เจียว ”

“ เสี้ยมหลอก๊กเจี๋ยงแต้เจียว ” นั้นหมายถึงกรุงสยาม ส่วน “ เจี๋ยง ” นั้นกล่าวกันว่าแสดงว่าทางเมืองจีนยังมิได้ยอมรับหรือยกย่องในความเป็นใหญ่ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเท่าใดนัก

เพราะโดยปกติแล้ว จดหมายเหตุจีนจะเรียกพระมหากษัตริย์ไทยเราว่า “ เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ” อยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะจีนสมัยนั้นถือเป็นแบบแผนประเพณีอยู่อย่างหนึ่ง ว่าจะไม่ยอมให้เกียรติใครๆ เป็น “ ฮ่องเต้ ” ทั้งสิ้น นอกจากพระเจ้ากรุงจีน บรรดากษัตริย์ทุกประเทศ ไม่ว่าแขก ฝรั่งหรือไทย จะเป็นได้แต่เพียงแต่ชั้น “ อ๋อง ” เท่านั้น

จดหมายเหตุเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 5 ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองไทยในสมัยกรุงธนบุรีไว้ มีรายละเอียดที่น่าศึกษาเป็นอันมาก ดังจะขอตัดตอนสำคัญนำมาเสนอไว้ ดังต่อไปนี้