โดยสรุป
ความสำคัญในพระราชสาส์นฉบับนี้ ( สำรับที่หนึ่ง ) ตอนต้นเป็นการฟ้องร้องกล่าวโทษเจ้าพนักงานทางเมืองจีนที่ปฏิบัติการไม่ดีงามกับราชทูตไทย ที่ออกไปยังเมืองจีนคราวก่อน กล่าวคือเรียกค่าธรรมเนียมรับเครื่องราชบรรณาการเป็นเงินถึง 30 ชั่ง แล้วก็ลดจำนวนเครื่องราชบรรณาการลงเสีย หักเป็นค่าธรรมเนียมเอาไว้ แล้วยังได้กักขังทูต มิให้ออกไปเที่ยวเตร่ แกล้งทูตมิให้กลับบ้านเมืองด้วยเรือของตัวเอง ต้องอาศัยโดยสารสำเภาจีนกลับมา

นอกจากนี้ก็เป็นการแจ้งให้ทางเมืองจีนทราบเรื่องเชลยที่ได้ส่งไปยังเมืองจีนนั้น ว่าเมื่อทางจีนไม่ประสงค์จะสืบเอาข้อราชการไว้ทำศึกกับพม่าแล้ว ก็ขอให้ส่งตัวกลับคืนมา เรื่องทางไทยได้ช่วยเหลือคนหาปลาของจีน ที่เรือแตกพลัดเข้ามาในแดนไทยบ้าง เรื่องที่ทางไทยได้ช่วยเหลือเชลยจีน ที่ส่งมารบกับพม่า พม่าจับได้เอาตัวส่งมาไว้ปลายแดนทางใต้ กองทัพไทยไปรบพม่า ไปได้เชลยจีนเหล่านั้นมาเป็นคราวๆ รวม 3 คราวด้วยกัน ได้ให้ข้าวสาร เสื้อผ้าไปรวมเป็นเงินถึง 4 ชั่งเศษด้วยกัน

ตอนท้ายพระราชสาส์น เป็นเรื่องที่ทางไทยขอให้ทางจีนอำนวยความสะดวกให้แก่ทางไทย ในการที่จะจัดแต่งสำเภาหลวงบรรทุกสินค้า ออกไปขายที่เมืองจีนต่อไป โดยกำหนดจะส่งออกไปเที่ยวละ 3 ลำ โดยขอให้ทางจีนยกเว้นค่าจังกอบ กับขอซื้อสิ่งของบางอย่าง เช่น อิฐ เพื่อนำเข้ามาใช้ในการสร้างพระนครใหม่ และขอให้ทางจีนช่วยหาต้นหนสำเภาสำหรับทำหน้าที่ คุมสำเภาไทย ออกไปซื้อทองแดงที่เมืองญี่ปุ่น รวม 2 ลำด้วยกัน

พระราชสาส์นฉบับนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เป็นหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะมิใช่พระราชสาส์นเจริญทางพระราชไมตรีตามธรรมเนียมเท่านั้น หากแต่มีข้อราชการสำคัญ ๆ อยู่เป็นอันมาก อันแสดงว่าพระเจ้ากรุงจีนจะต้องทรงอ่าน หรือทรงรับรู้ความในพระราชสาส์นฉบับนี้ด้วยพระองค์เองโดยตรง

พระราชสาส์นสำรับที่ 2
ตามพระราชวิจารณ์ว่า “ เป็นหนังสือ เจ้าพระยาพระคลังแต่ง ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช พระยาราชสุภาวดี พระพี่เลี้ยง หลวงราไชย หลวงศรียศ หลวงราชมนตรี นายฤทธิ นายศักดิ นายเวรมหาดเล็กข้าหลวง คุมสำเภา 11 ลำ พาของไปถวาย

เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในสมัยกรุงธนบุรี ที่นับว่าสำคัญมากก็คือในตอนปลายรัชกาลเมื่อปีพ.ศ.2324 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงส่งคณะทูตชุดหนึ่ง มี เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช อัครมหาเสนาบดีในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะ คุมกองเรืออัญเชิญพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศจีน ในแผ่นดินพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ ( ในพระราชสาส์นครั้งนั้นออกพระนามว่า “ สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้ง ”) ณ กรุงปักกิ่ง