หมายเหตุ แต่สำหรับในสมัยรัชกาลที่ 5 คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เพียงแต่คิดกำหนดขึ้นไว้เท่านั้น ยังมิได้ถึงขั้นใช้ในพระราชสาส์นส่งไปยังราชสำนักของพระเจ้ากรุงจีนเลย

ทั้งนี้ก็เป็นด้วยในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นทางไทยได้เลิกประเพณีการส่งราชทูตไปยังเมืองจีนเสีย ด้วยเรื่องมีอยู่ว่าในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ครั้งที่ยังมีเคาน์ซิลออฟสเตทส์ หรือสภาที่ปรึกษาราชกาลแผ่นดินอยู่นั้น ทางจีนเห็นว่าไทยได้งดส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายยังพระเจ้ากรุงจีนมาเป็นเวลาช้านานแล้ว จึงได้มีการเรียกร้องทวง “ จิ้มก้อง ” เครื่องราชบรรณาการจากประเทศไทยขึ้นมา เมื่อทางไทยทราบแน่ชัดว่าทางจีนถือว่าประเทศไทยเป็นเมืองขึ้น จึงงดการติดต่อกับประเทศจีนเป็นทางการโดยเด็ดขาด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน จึงยุติลงตั้งแต่ครั้งนั้น จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลง จึงได้มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกันขึ้นมาใหม่อีกสืบต่อมาจวบจนบัดนี้ ( เสทื้อน ศุภโสภณ , 2527 : 58)

ข้อวิจารณ์
ดังนั้น การที่สยามสามารถส่งเครื่องราชบรรณาการจีนได้ในสมัยเจิ้นเจ้านั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งทีเดียว
(ณัฏฐภัทร จันทวิช, ศิลปากร 2 4 ( 3 ) : กรกฎาคม 2523 : 50-70)

ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับราชหัตถเลขา มีข้อวิจารณ์ดังนี้

1. การแต่งสำเภาทรงพระราชสาสน์ไปขอลูกสาวพระเจ้ากรุงปักกิ่ง
ในปี พ.ศ.2312 จีนตกลงจะให้การรับรองแก่สมเด็จพระเจ้าตากสินกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี หลังจากได้ปฏิเสธมาเป็นเวลา 10 ปี โดยจีนตกลงกำหนดเอาปี พ.ศ.2324 เป็นปีจิ้มก้องปีแรก

ก่อนถึงกำหนดจิ้มก้อง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงมีพระราชดำริจะกระชับความสัมพันธ์กับพระเจ้ากรุงจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงทรงแต่ตั้งคณะทูตคณะหนึ่งไปทำการสู่ขอพระราชธิดาของพระเจ้าเชียนหลงมาเป็นพระมเหสี เมื่อ พ.ศ.2323

เรื่องนี้แปลกที่ไม่มีปรากฏในจดหมายเหตุหรือในพระราชพงศาวดารจีน แต่มีปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุความทรงจำ (กรมหลวงนรินทรเทวี) ดังความต่อไปนี้