หนังสือ “ ชุมนุมตัวอย่างพระราชนิพนธ์บทกลอน ” ของหอพระสมุดวชิรญาณ อธิบายไว้ตอนท้ายพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า “ พระราชนิพนธ์เจ้ากรุงธนบุรีว่าเล่นละครยากนัก เล่ากันมาว่าทรงพระราชนิพนธ์อย่างไร จะให้ร้องและให้รำได้อย่างพระราชนิพนธ์ บางทีต้นบทร้องไม่ได้ ถึงทรงพระพิโรธ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเล่าไว้ตอนหนึ่งในหนังสือพระราชวิจารณ์ว่า “ แต่พระราชนิพนธ์เจ้ากรุงธนบุรีนั้นผิดจากนี้มาก มีเล่ากันว่าดังโฮกฮากหลายตอน เมื่อจวนจะคลั่งอยู่แล้ว พระราชนิพนธ์ที่ต้องถูกเฆี่ยนถูกตีกันมากตอนถวายลิงว่า

“ กลางวันก็ใช้ กลางคืนก็ใช้ นั่งยามตามไฟ ตีเกราะเคาะไม้ อยู่ไม่ได้จึงหนีมา ”

5. เนื้อความค่อนข้างสั้น กระทัดรัดเพราะทรงมุ่งเอาเรื่องราวเป็นใหญ่ จึงมิได้มีลีลาเยิ่นเย้อยืดยาว เหมือนดังรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งส่วนมากรู้จักกันดี เป็นต้นว่าเนื้อเรื่องตอนหนึ่งตรงกัน ในฉบับพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีกล่าวไว้เพียง 146 คำ แต่ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 นั้น บรรจุข้อความไว้ถึง 400 คำ ถ้าเปรียบเทียบหน้ากระดาษพิมพ์กัน ฉบับพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีบรรจุความเพียง 11 หน้า แต่ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 กินเนื้อความถึง 50 หน้า ฯลฯ

ทั้งนี้ แสดงให้เห็นพระราชอุปนิสัยว่องไว ไม่ชอบเยื้องกรายยืดยาด พอพระทัยแต่จะตรัสอย่างตรงไปตรงมา ให้ได้เรื่องได้ราวเร็วๆ เป็นสำคัญ จึงทรงมุ่งเอาแต่เนื้อความและเรื่องราวเป็นใหญ่

การที่รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 มาขยายข้อความให้ยืดยาวมโหฬารยิ่งใหญ่ออกไปอีกหลายเท่าตัว ด้วยการใช้โวหารพรรณนากันอย่างสุดคารมนั้น บางท่านตั้งข้อสังเกตว่ากวีบางคนได้รับมอบหมายให้แต่งเป็นตอนๆ นั้น ได้ใช้ฉบับพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นหลัก เพียงแต่มาขยายพลความออกไปเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ เนื้อเรื่องจึงเหมือนกันตรงกัน แต่บรรจุคำกลอนมากกว่ากันหลายเท่าตัว

6. มีหลายตอนที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงแสดงอารมณ์กวี เป็นสุนทรียรสให้ปรากฏอยู่เหมือนกัน เช่น ตอนท้าวมาลีวราชชมโฉมนางสีดา สามารถทรงใช้พรรณนาโวหาร ได้อย่างชนิด “ ไม่เบา ” เลยทีเดียว