ประเพณีพระมหากษัตริย์พระราชทานพระราชปุจฉาปัญหาธรรมแก่พระราชาคณะนี้ ถือกันว่าเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการทำนุบำรุงการศึกษาพระธรรมวินัยให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยว่าผู้ที่จะแก้พระราชปุจฉาได้จะต้องค้นคว้าสอบสวนคัมภีร์ต่างๆ มาถวายวิสัชนา เป็นประเพณีที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สืบทอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้

มีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารหลายตอน เฉพาะอย่างยิ่งในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับเหตุการณ์ในสมัยกรุงธนบุรี เป็นต้นว่า

คราวหนึ่งในปี พ.ศ.2320 ได้ทรงมีพระราชปุจฉากับสมเด็จพระสังฆราช ถึงเรื่องผลของการบำเพ็ญทาน

แล้วตรัสถามพระสังฆราชว่า “ เงินคงอยู่ในพระสุธาบัดนี้ สั่งสอนโลกทั้งปวงให้กระทำทานด้วยทองด้วยเงิน แล้วจะไปได้สมบัติฟากฟ้านั้น จะได้ด้วยกุศลตัวใด ครั้นพระสังฆราชถวายวิสัชนาแล้ว จึงตรัสนิมนต์พระเทพกวีออกไปเมืองกัมพูชา พระพรหมมุนีไปนครศรีธรรมราช ขนคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคเอาเข้ามาฐาปนาการไว้แล้ว ”


พระพุทธรูปฉลองพระองค์ ประดิษฐานที่วัดอินทาราม
(เอื้อเฟื้อภาพโดย หอสมุดแห่งชาติ)
อีกคราวหนึ่งในปีเดียวกัน ได้ทรงมีพระราชปุจฉากับพระราชาคณะ ถึงเรื่องพุทธลักษณะเพื่อสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ตามโบราณราชประเพณี ครั้งนั้นถึงกับโปรดให้สมเด็จพระสังฆราชเอาตำรางมากาง บอกกล่าวให้ช่างทำเลยทีเดียว

“ แล้วตรัสถามพระราชาคณะด้วยพระรูปพระลักษณะ ทรงพระฉายดูเห็นพระปริมณฑล ฉะนี้ จะต้องด้วยพระบาลีว่าอย่างไร พระราชาคณะถวายพระพรว่า พระบาลีพระลักษณะสมเด็จพระพุทธเจ้า พระรูปนั้นเปรียบประดุจต้นไทร ปริมณฑลมิได้สูงต่ำ มิได้ยาวสั้น มีพระลักษณะหนา 7 ประการ คือพระกรขวาหนึ่งซ้ายหนึ่ง พระบาทขวาหนึ่งซ้ายหนึ่ง พระอังสาขวาหนึ่งซ้ายหนึ่ง พระอุระหนึ่ง เป็น 7 ประการด้วยกัน จึงทรงพระกรุณาให้หล่อพระพุทธรูปจงต้องด้วยพระพุทธลักษณะ ให้พระสังฆราชเอาพระบาลีออกมากางให้ช่างทำ ”