1.2 ชำระพระสงฆ์ฝ่ายเหนือ
ครั้งกรุงศรีอยุธยาสูญเสียแก่พม่านั้น บ้านเมืองแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า ทางฝ่ายเหนือก็มีก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ แต่ตั้งตนเป็นใหญ่รวบรวมสมัครพรรคพวกซึ่งเป็นพระสงฆ์ด้วยกันถืออาวุธรบพุ่งและฆ่าคน รวมทั้งประพฤติผิดศีลด้วยประการต่างๆ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงปราบปรามก๊กเจ้าพระฝางได้เป็นผลสำเร็จ ก็ทรงดำเนินการชำระพระสงฆ์ฝ่ายเหนือให้บริสุทธิ์ กล่าวคือ " ให้นิมนต์พระสงฆ์เมืองเหนือมาพร้อมกันหน้าที่นั่ง และให้หาขุนนางผู้ใหญ่น้อยมาประชุมเฝ้าพร้อมกัน จึงดำรัสปรึกษาว่าพระสงฆ์บรรดาอยู่ฝ่ายเหนือนี้ เป็นพรรคพวกอ้ายเรือนพระฝางทั้งสิ้น ย่อมถืออาวุธและปืน รบศึก ฆ่าคน ปล้นทรัพย์สิ่งของ และกินสุราเมรัย ส้องเสพอนาจารด้วยสีกา ต้องจตุปราชิกาบัติต่างๆ ขาดจากสิกขาบทในพระพุทธศาสนา ล้วนลามกจะละไว้ให้คงอยู่ในสมณเพศฉะนี้มิได้ อนึ่งพระสงฆ์ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ ก็จะแปลกปลอมปะปนกันอยู่มิรู้ว่าองค์ใดดีองค์ใดชั่ว จะได้ไหว้นบเคารพสักการบูชาให้เป็นเนื้อนาบุญ … ให้พระสงฆ์ให้การไปแต่ตามสัตย์ความจริง ถ้าได้ผิดในจตุปราชิกแต่ประการใดประการหนึ่ง จะพระราชทานผ้าคฤหัสถ์ให้ผลัดสึกออกทำราชการ ที่ไม่รับนั้นจะให้ดำน้ำพิสูจน์นาฬิกาสามกลั้น แม้ชนะแก่นาฬิกาจะได้เป็นอธิการและพระครูราชาคณะฝ่ายเหนือโดยสมควรแก่คุณธรรมที่รู้ แม้แพ้แก่นาฬิกาจะให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วสักข้อมือ มิให้บวชได้อีก แม้นเสมอนาฬิกาจะถวายผ้าไตรให้บวชใหม่ ถ้าแต่เดิมไม่รับ ครั้นจะให้ลงดำน้ำพิสูจน์ แล้วกลับคืนคำว่าได้ทำผิด จะให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตเสีย …” ครั้งนั้นพระสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็ชนะแก่นาฬิกาบ้าง เสมอบ้าง ที่ภิกษุทุศีลก็แพ้แก่นาฬิกาเป็นอันมาก เสนาบดีก็กระทำตามรับสั่งโดยสมควรแก่คุณและโทษ

จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการพระศาสนา หวังที่จะให้พระพุทธศาสนารุ่งเรือง มีพระสงฆ์อันบริสุทธิ์สั่งสอนประชาชนและเป็นที่พึ่งของประชาชน ดังจะเห็นได้จากที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสตักเตือนพระสงฆ์ทั้งหลายว่า " ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงจงตั้งใจปฏิบัติสำรวมรักษาในพระจตุปาริสุทธิศีลให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่าให้เศร้าหมอง แม้นพระผู้เป็นเจ้าจะขัดสนด้วยจตุปัจจัยสิ่งใดนั้น เป็นธุระโยมจะรับอุปัฏฐากจากผู้เป็นเจ้าทั้งปวง แม้นถึงจะปรารถนามังสะและรุธิระของโยม โยมก็อาจสามารถจะเชือดเนื้อและโลหิตออกถวายเป็นอัชฌัตติกทานได้ ”