 |
ราววันอังคาร เดือน 4 ขึ้น 9 ค่ำ อะแซหวุ่นกี้ ให้กะละโบ่คุมกำลังมาตีค่ายไทยที่ตั้งอยู่เหนือปากพิงอีกทัพหนึ่ง กะละโบ่ยกกองทัพมาตั้งค่ายประชิดค่ายพระยานครสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่ริมลำน้ำแควใหญ่ ฟากตะวันตกที่บ้านแขก ครั้นวันพฤหัสบดี เวลากลางคืน กะละโบ่ให้กองทัพยกข้ามลำน้ำมาปล้นค่ายกรมแสงใน ซึ่งอยู่ที่วัดพริกฟากตะวันออก พวกกรมแสงรักษาค่ายอยู่ 240 คน สู้รบพม่าไม่ไหว พม่าก็ตีค่ายข้างฝั่งตะวันออกได้หมดทั้ง 5 ค่าย
ถึง ณ วันศุกร์ เดือน 4 ขึ้น 12 ค่ำ พระยานครสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่บ้านแขกบอกลงมากราบทูลว่า พม่าตั้งค่ายโอบลงมาถึงริมน้ำและข้ามไปตีค่ายวัดพริกแตกทั้ง 5 ค่าย เห็นพม่าจะตีวกหลัง จะขอล่าถอยกองทัพลงมาตั้งทางฝั่งตะวันออก พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงดำรัสให้กองทัพหลวงรักษามณเฑียรกับพระโหราธิบดีซึ่งตั้งอยู่ที่โคกสลุด และกองทัพพระยานครชัยศรีซึ่งตั้งอยู่ที่โพธิ์ประทับช้างข้างใต้ ให้ยกขึ้นไปที่ปากพิง แล้วให้กองมอญพระยากลางเมือง กองพระโหราธิบดียกขึ้นไปสมทบ กองพระยาเทพอรชุน กองพระยาวิชิตณรงค์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าโรงรวมเป็นกองทัพพระยายมราช ยกไปรบพม่าที่วัดพริก พอตั้งค่ายลงกะละโบ่ก็ยกเข้าตี กองทัพไทยยังไม่ทันพร้อมมูล พม่าก็ชิงเอาค่ายได้ ครั้นพระยายมราชขึ้นไปถึงผู้คนพรักพร้อม จึงยกเข้ารบพม่าชิงเอาค่ายคืนมาได้ พม่าก็ถอยกลับไปค่ายเดิม ต่างตั้งมั่นสู้รบกันอยู่
ในขณะนั้นอะแซหวุ่นกี้ให้มังแยยางูน้องชายคุมกองทัพพม่าอีก 1 กอง ข้ามฟากมาโอบหลังกองทัพหลวงที่ปากพิงทางด้านตะวันออก ตั้งค่ายรายประชิดกองทัพหลวงเป็นหลายค่าย สู้รบกันอยู่หลายวันไทยตีพม่าไม่แตกไป พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชดำริเห็นว่ากำลังข้าศึกมากนัก จะตั้งสู้รบอยู่ที่ปากพิงต่อไปจะเสียที ครั้น ณ วันพฤหัสบดีเดือน 4 แรม 10 ค่ำ จึงให้ถอยทัพหลวงจากปากพิงลงมาตั้งมั่นอยู่ที่บางข้าวตอก ในแขวงเมืองพิจิตร กองทัพข้าราชการที่ตั้งรักษาตามระยะต่าง ๆ ก็ถอยตามกองทัพหลวงลงมาโดยอันดับหมดทุกกอง
กระบวนศึกตอนที่ 4
ฝ่ายเจ้าพระยาจักรี ตั้งแต่มาเฝ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี กลับไปถึงเมืองพิษณุโลก ปรึกษากับเจ้าพระยาสุรสีห์เห็นพร้อมกันว่าเหลือกำลังที่จะรักษาเมืองต่อไปได้ ด้วยขัดสนเสบียงอาหารยิ่งนัก จึงตกลงกันให้เตรียมการที่จะทิ้งเมืองพิษณุโลก ให้ทหารในค่ายซึ่งออกไปตั้งประชิดพม่าถอยกลับเข้าเมือง พม่าก็ตามเข้ามาประชิดกำแพงเมือง พวกทหารที่รักษาหน้าที่เชิงเทินระดมยิงปืนใหญ่ป้องกัน พม่าเข้าเมืองไม่ได้ก็ถอยไป ตั้งปืนยิงโต้ตอบกัน |
|
|