 |
รักษาเมืองค่ายปากพิงข้างฟากตะวันตก ในวันนั้นพม่ายกมาตั้งค่ายประชิดค่ายพระยาธรรมา และพระยานครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านแขก 4 ค่าย แล้วกรุยทางจะตั้งค่ายโอบลงมา
ครั้น ณ วันพุธ เดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท แต่ค่ายบ้านท่าโรง ขึ้นไปจนถึงบ้านแขกที่พม่าตั้งค่ายโอบ ดำรัสสั่งให้กองทัพพระยาสีหราชเดโชชัย กับกองจมื่นทิพเสนายกไปสมทบช่วยพระยานครสวรรค์รักษาค่าย แล้วเสด็จกลับลงมายังค่ายท่าโรง มีรับสั่งให้หาตัวเจ้าพระยาจักรีมาเฝ้าทรงปรึกษาราชการทัพ ในขณะทรงปรึกษานั้น พม่าเข้าปล้นค่ายที่ปากพิง จึงดำรัสสั่งให้เจ้าพระยาจักรีอยู่รักษาค่ายหลวง ส่วนพระองค์เสด็จยกกองทัพเรือลงมาจากท่าโรง มาช่วยรักษาค่ายปากพิง อยู่จนเวลาเช้าเห็นพม่าไม่ยกลงมาตี จึงมอบหมายให้พระยาเทพอรชุนกับพระพิชิตณรงค์เป็นผู้จัดการ แล้วกลับขึ้นไปยังเมืองพิษณุโลก
พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จลงมาถึงปากพิงในตอนกลางคืน พอ 5 นาฬิกาวันนั้นพม่าก็เข้ามาตีค่ายพระยาธรรมไตรโลก พระยารัตนพิมล ข้างด้านคลองกระพวง รบกันอยู่จนสว่าง พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระดำเนินข้ามสะพานเรือกไปข้างตะวันตก ทรงจัดกำลังไปช่วยรบพม่ารักษาค่ายคลองกระพวง ให้พระยาสุโขทัยยกหนุนไปตั้งค่ายชักปีกกาและขุดสนามเพลาะให้ติดต่อกับค่ายที่พม่าตี โปรดให้กองหลวงรักษาโยธา หลวงภักดีสงครามยกไปตั้งค่ายประชิดพม่าข้างด้านปากคลองกระพวง และให้หลวงเสนาภักดีคุมพลกองแก้วจินดายกไปตีกระหนาบหลังพม่าอีกด้านหนึ่ง
ถึงวันเสาร์ เดือน 4 ขึ้น 6 ค่ำ กองทัพพระยาสุโขทัย กองหลวงรักษาโยธา กองหลวงเสนาภักดียกเข้าตีค่ายพม่าที่คลองกระพวง แต่เวลาเช้าพร้อมกันทั้ง 3 กอง ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ จึงใช้อาวุธสั้น ไทยตีพม่าไม่แตก ด้วยกำลังพม่ามีมากกว่า
ถึงวันอาทิตย์ เดือน 4 ขึ้น 7 ค่ำ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีรับสั่งให้กองทัพเจ้าพระยาอินทร อภัยซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าโรง และกองมอญ พระยากลางเมืองยกลงมาช่วยรบพม่าอยู่ที่คลองกระพวง ดำรัสสั่งให้ตั้งค่ายชักปีกกาต่อออกไปจากค่ายใหญ่อีกเป็นระยะทาง 22 เส้น (2.15 กิโลเมตร) ครั้นจวนพลบค่ำเวลาวันนั้น พม่ายกออกปล้นค่ายไทยรบพุ่งกันอีก พม่าตีค่ายไทยไม่ได้ก็ตั้งรอกันอยู่ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงรับสั่งให้หา พระยายมราช ลงมาจากค่ายวัดจันทร์ โปรดให้ถืออาญาสิทธิ์บังคับกองทัพไทยที่ตั้งรบพุ่งพม่าที่คลองกระพวงทุก ๆ กอง |
|
|