 |
รุ่งขึ้น จึงดำรัสสั่งให้กองทัพพระยานครสวรรค์ ที่ตั้งอยู่ที่ค่ายวัดจันทร์ถอยลงมายังกองทัพหลวง และให้หากองทัพพระโหราธิบดีและกองมอญพระยากลางเมืองขึ้นมาจากค่ายบางทราย แล้วรวมพลังจัดเข้าเป็นกองทัพหนึ่ง จำนวนพล 5,000 ให้พระยานครสวรรค์เป็นทัพหน้า ให้ยกขึ้นไปซุ่มอยู่ทางด้านหลังค่ายพม่า ฝั่งตะวันตก ถ้าเห็นพม่ารบพุ่งติดพันกับกองทัพเจ้าพระยาจักรีเมื่อใด ก็ให้ตีกระหนาบเข้าไป แล้วโปรดให้พระราชสงครามลงมาเอาปืนใหญ่ที่กรุงธนบุรีเพิ่มเติมขึ้นไปอีกด้วย
ฝ่ายกองทัพพม่าที่ตั้งอยู่ที่เมืองสุโขทัย ได้รับคำสั่งอะแซหวุ่นกี้ก็แบ่งกำลัง ยกเป็นกองทัพลงมาทางเมืองกำแพงเพชร ประสงค์จะให้มาตีตัดลำเลียงของกองทัพไทย และยกไปตีเมืองพิษณุโลกตามคำสั่ง กองสอดแนมของพระยาสุโขทัยได้ความว่า พม่าให้กองทัพยกไป 2 ทางนั้น จึงมากราบทูลพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงทรงแก้ไขกระบวนทัพให้ถอนพระยาราชภักดีกับพระยาพิพัฒโกษาซึ่งตั้งอยู่บ้านกระดาษ ให้ลงมาช่วยพระยาราชาเศรษฐีรักษาเมืองนครสวรรค์ และให้กองมอญพระยาเว่งสมทบกับกองหลวงภักดีสงคราม รีบยกไปคอยสอดแนมข้าศึกที่บ้านลานดอกไม้แขวงเมืองกำแพงเพชร ให้รู้ว่าพม่าจะยกไปทางไหน ถ้าพบข้าศึกได้ทีก็ให้โจมตี ถ้าไม่ได้ทีก็ให้ล่าถอยมา ส่วนกองทัพพระยามหามณเฑียร ที่ยกไปซุ่มคอยตีกระหนาบพม่านั้นคงให้ไป และให้พระยาธรรมาหนุนไปอีกกองหนึ่ง
ฝ่ายเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกออกไปตีค่ายพม่าที่ล้อมเมืองอยู่ข้างด้านตะวันตกเฉียงใต้ ได้รบกับพม่า แต่ตีค่ายพม่าไม่แตก ด้วยกองทัพที่กะว่าจะไปช่วยตีกระหนาบอีกทางหนึ่ง ยกไปไม่ถึงตามกำหนด เพราะกองทัพพระยานครสวรรค์อันเป็นกองหน้าของพระยามหามณเฑียรยกไปถึงบ้านส้มป่อย ไปพบกับพม่าต้องรบพุ่งติดพันกันอยู่ จึงไปติดอยู่เพียงแค่นั้น เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ต้องรักษาค่ายมั่นอยู่ ส่วนกองทัพพระยามหามณเฑียรจะทำอย่างไรต่อไปไม่ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ปรากฏแต่ว่ากองทัพพระยานครสวรรค์กลับมาตั้งที่บ้านแขก
จึงเข้าใจว่าเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเห็นว่าจะตีโอบพม่าโดยไม่ให้รู้ตัวไม่ได้แล้ว ก็ให้กลับมาทั้งกองทัพพระยานครสวรรค์และพระยามหามณเฑียร |
|
|