หลักฐานข้างฝ่ายพม่าสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอะแซหวุ่นกี้ ที่จะจัดกองทัพเข้าตีทางฝ่ายไทยอย่างฉับพลัน แต่ปรากฏว่าเกิดความแตกแยกขึ้นภายในกองทัพ ทำให้เกิดความล่าช้าขึ้น กล่าวโดยย่อคือในชั้นต้นอะแซหวุ่นกี้ได้สั่งให้นายทัพใหญ่ เมงจี สะยาจอ ( Minye Zeya Kyaw) ซึ่งมีฐานะเป็นนายทัพคุมทหารรักษาพระองค์จำนวน 3,000 เข้าตีทะลวงทัพไทยที่ตั้งปิดสกัดเส้นทางเดินทัพของพม่า ปรากฏว่า เมงจี สะยาจอ ปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำสั่ง โดยอ้างว่ากำลังมีไม่พอ ทางอะแซหวุ่นกี้ จึงมีรายงานไปยังพระเจ้ามังระ เมงจี สะยาจอทราบเรื่องจึงถอนกำลังของตนถอยไปตั้งที่เมาะตะมะ อะแซหวุ่นกี้จึงจำต้องส่ง ฉับพญาโกงโบ (ฉับกุงโบ หรือ งุยอคงหวุ่น ใน “ ไทยรบพม่า ” ) ไปกระทำการแทน ซึ่งก็ช้าเกินการณ์เพราะเมื่อทัพหน้าพม่ายกไปถึงปากแพรกและบ้านบางแก้ว ก็ปรากฏว่าทัพไทยยกมาตั้งมั่นคอยรับอยู่ที่เมืองราชบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความล้มเหลวของอะแซหวุ่นกี้ในคราวศึกบางแก้วนี้ ทำให้อะแซหวุ่นกี้เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ คือหันไปใช้เส้นทางทางเหนือเป็นเส้นเดินทัพ มุ่งเข้าตีเมืองพิษณุโลกเช่นครั้งที่พระเจ้าบุเรงนองและเนเมียวสีหบดียกมาทำการ ในเงื่อนไขทางยุทธศาสตร์ศึกบางแก้วจึงเป็นศึกที่ต่อเนื่องกับศึกอะแซหวุ่นกี้ ซึ่งไม่เพียงเป็นศึกที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ยังเป็นศึกที่ทั้งท้าทาย และสามารถเอาชัยเหนือยุทธศาสตร์การตั้งรับของฝ่ายไทย ที่ปรับเปลี่ยนจากประสบการณ์ที่ได้จากสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310

ยุคสมัยธนบุรีต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นยุคสมัยที่หัวเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ได้กลายมาเป็นสมรภูมิตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม ราชบุรีเป็นหนึ่งในจำนวนหัวเมืองลักษณะดังกล่าว ศึกบางแก้วแท้จริงแล้วก็คือศึกตีหัวเมืองราชบุรี เช่นเดียวกับที่ศึกอะแซหวุ่นกี้ก็คือศึกตีเมืองพิษณุ-โลก

ผลแพ้ชนะไม่เพียงยุติที่การเสียหัวเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ แต่อาจรวมหมายถึงการแพ้ สงครามและเสียกรุงได้ในที่สุด (สุเนตร ชุตินธรานนท์ , 2543 : 173-178)

ศรีชลาลัย (นามปากกา) ( 2482 ) เขียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ในเรื่อง “ ไทยต้องจำ ” ว่า