สงครามครั้งที่ 7
คราวรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี (ไทยล้อมพม่า ทำให้ทหารพม่าเริ่มอดอยาก)
ปีมะเมีย พ.ศ .2317

พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่มาถึงพระนคร พอมาถึงก็ได้ข่าวว่ากองทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ตีกองทัพพระยายมราชแขกซึ่งไปตั้งอยู่ที่ท่าดินแดงหนีกลับมาอยู่ที่ปากแพรก (คือเมืองกาญจนบุรีในปัจจุบัน) ในขณะนั้นกองทัพหลวงที่ตามเสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่กำลังลงเรือล่องกลับมา ยังไม่ถึงกรุงธนบุรีโดยมาก จึงมีรับสั่งให้รีบเกณฑ์กองทัพในกรุงฯ ให้พระองค์เจ้าจุ้ยลูกเธอ กับพระยาธิเบศร์บดีจางวางมหาดเล็กถือพล 3,000 ยกออกไปตั้งรักษาเมืองราชบุรี แล้วให้เจ้ารามลักษณ์หลานเธอถือพล 1,000 ยกหนุนไปอีกทัพ และมีคำสั่งให้กองทัพเมืองเหนือยกลงมาด้วย แล้วมีรับสั่งให้ขึ้นไปเร่งกองทัพกรุงฯ ที่ยังกำลังอยู่กลางทางให้รีบลงมาโดยเร็ว

ตามพงศาวดารพม่าว่า อะแซหวุ่นกี้ให้ งุยอคงหวุ่น ( หรือฉับพญาโกงโบ หรือ ฉับกุงโบ ) ยกกองทัพเข้ามาในเมืองไทยคราวนี้ ประสงค์แต่จะให้ตามมาต้อนครัวมอญกลับออกไป ถ้าได้ครัวมอญก็ดีหรือติดตามไม่ทัน ก็ให้เลิกทัพกลับไป แต่งุยอคงหวุ่นถือตัวว่าเคยปราบไทยมาก่อน เมื่อตีกองทัพพระยายมราชแขกแตกหนีเข้ามาจากท่าดินแดงแล้ว ก็ยกเข้ามาถึงปากแพรก ฝ่ายพระยายมราชแขกก็ทิ้งค่ายหนีมาตั้งอยู่ที่ดงรังหนองขาว งุยอคงหวุ่นเห็นไทยไม่ต่อสู้ จึงแบ่งกองทัพเป็น 2 กองให้มองจายิกควบคุมกองหนึ่งตั้งค่ายที่ปากแพรก เที่ยวปล้นทรัพย์ จับผู้คนในแขวงเมือง

กาญจนบุรี สุพรรณบุรีและนครชัยศรี อีกกองหนึ่งให้ปล้นแถวเมืองราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี โดยงุยอคงหวุ่นคุมทัพเอง ครั้นยกมาถึงบางแก้วได้ทราบความว่า มีกองทัพไทยยกออกไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี งุยอคงหวุ่นก็ให้ตั้งค่ายมั่นที่บางแก้ว 3 ค่าย

ฝ่ายพระองค์เจ้าจุ้ย ตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี ทราบว่า พม่ามาตั้งค่ายที่บางแก้ว เห็นว่าพอจะสู้ได้และกองทัพกรุงฯ ก็กำลังตามมาเพิ่มเติมออกไป จึงยกทัพขึ้นไปที่ตำบลโคกกระต่ายในทุ่งธรรมเสน ห่างค่ายพม่าลงมาประมาณ 80 เส้น (7.8 กิโลเมตร) แล้วให้หลวงมหาเทพคุมกองหน้าไปตั้งค่ายโอบพม่าข้างตะวันตก ให้กองทัพเจ้ารามลักษณ์ยกไปตั้งค่ายโอบด้านตะวันออก แล้วบอกความเข้ามายังกรุงธนบุรี