อนึ่ง ตราพระราชสีห์ตามที่ปรากฏลายประทับอยู่ใน “ กฎหมายตราสามดวง ” ครั้งรัชกาลที่ 1 ไม่เหมือนกับตราพระราชสีห์ที่ใช้อยู่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงสันนิฐาน ว่า คงจะเป็นเพราะดวงเดิมใช้จนลายตราสึกตื้นขึ้นต้องแกะรุกใหม่ แต่เห็นจะรุกได้น้อยหนจนต้องทำใหม่ ( รุก คือแกะร่องระหว่างลายให้ลึกลงไป ลายจะได้เด่นขึ้น พิธีรุกตราทำอย่างเดียวกับพิธีแกะตรา คือมีฤกษ์และพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และมีสมโภชตั้งดวงตราในพิธีมณฑล เป็นทำนองเดียวกับพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ จะต่างกันที่พิธีรุกตรา ไม่มีอาลักษณ์อยู่ด้วยเท่านั้น ) ช่างผู้เขียนดวงใหม่จะไม่ได้เลียนดวงเก่าหรือบางทีจะไม่ได้เห็นดวงเก่าเลยก็เป็นได้ จึงได้มีลายไม่เหมือนกัน

แต่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ตราพระราชสีห์ เป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และตราประจำกระทรวงมหาดไทยว่า นับแต่สมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน รูปลักษณ์ของตราพระราชสีห์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็น “ มหาดไทย ” ตามที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งที่เป็นสิ่งก่อสร้างและวัสดุ ครุภัณฑ์ต่างๆ นั้น จะมีลักษณะแตกต่างกันไป ไม่มีรูปแบบของตราพระราชสีห์ที่กำหนดไว้จำเพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เช่น รูปพระราชสีห์บนดวงตราประทับทั้ง 7 ดวง ... แต่ละดวงก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน ทั้งท่วงท่าของพระราชสีห์ ตลอดจนลวดลายที่วาดประกอบหรือแม้แต่หน้าของพระราชสีห์ ก็หันไปในทิศทางที่ต่างกัน ลวดลายพระราชสีห์ปูนปั้นที่ประดับหน้าจั่วตึกศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบัน ( สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ) ก็มีรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป คือ มีลวดลายคล้ายทรงดอกบัวตูมล้อมรอบอยู่ แทนที่จะอยู่ในลวดลายทรงกลมดังเช่นในดวงตราประทับ ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการกำหนดธงเรือราชการกระทรวงมหาดไทยขึ้นใช้ ตราพระราชสีห์ที่ใช้ประดับมุมธง ก็ใช้รูปพระราชสีห์ยืนแท่น ไม่มีวงกลมล้อมรอบ ดังนี้เป็นต้น

จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า นับแต่พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานตราพระราชสีห์ ให้เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก และต่อมาได้กลายเป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว ไม่ว่าช่างจะสร้างสรรค์ให้พระราชสีห์มีรูปลักษณ์เพื่อความงดงามเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันไปอย่างไร ก็ถือว่าตราพระราชสีห์นั้นเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็น “ มหาดไทย ” ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะไม่มีตัวบทกฎหมายใดบัญญัติไว้ให้เป็นข้อยึดถือ อย่างไรก็ตามหากประสงค์จะหารูปแบบเพื่อเป็นจุดยืนร่วมกันแล้ว ก็น่าจะพิจารณาจากข้อเขียนของพระยาอนุมานราชธนที่กล่าวว่า “... ครั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ... ตราประจำตำแหน่งเสนาบดีก็ไม่ปรากฏได้ใช้ประทับอีกต่อไป ( ใช้การลงลายมือชื่อเป็นสำคัญ ) นอกจากใช้เป็นตราเครื่องหมายประจำกระทรวง ...”