 |
หมายเหตุ
จากหนังสือ100 ปี มหาดไทย (2535 : 85-92 ; http://www.moi.go.th/sign.htm , 30/8/2547) ได้กล่าวถึงตราและสีประจำกระทรวงมหาดไทย ว่า มีวิวัฒนาการมาจากตราประจำตำแหน่งราชการ ซึ่งในสมัยโบราณถือว่าตราประจำตำแหน่งเป็นของสำคัญมาก เพราะเอกสารต่างๆ ของทางราชการในสมัยโบราณตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา ใช้ประทับตราประจำตำแหน่งเป็นสำคัญ ไม่มีการลงลายมือชื่อแต่อย่างใด สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ตรัสอธิบายว่า แต่ก่อนไม่ได้ใช้เซ็นชื่อใช้ตราประจำตัวหรือประจำตำแหน่งประทับแทนเซ็นชื่อ เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินกับทั้งบรรดาคนสามัญ ซึ่งมีธุระในการหนังสือก็ทำตราขึ้นใช้ประจำตัว
ตราประจำตัว ประจำตำแหน่ง แต่เดิมมีประเพณีพระราชทานพระราชลัญจกรไปเป็นเกียรติ ยศ พระราชลัญจกรที่พระราชทานไปนี้ เป็นพระตราอันเคยใช้ทรงประทับหรือโปรดให้ทำขึ้นใหม่ก็ได้ เมื่อพระราชทานไปแล้วก็ไม่เรียกว่า พระราชลัญจกร จะเรียกจำเพาะแต่ที่ใช้ทรงประทับเท่านั้น ผู้ที่ได้รับตราพระราชทาน ถ้าเป็นตราประจำตัวเมื่อไม่มีตัวแล้วก็ส่งคืน ถ้าเป็นตราประจำตำแหน่ง เมื่อเลิกตำแหน่งแล้วก็ต้องส่งคืนเช่นกัน ใครจะเอาไปกดหรือใช้ต่อไปหาได้ไม่ ทั้งนี้ เปรียบเสมือนเครื่องยศอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นตำแหน่งสำคัญๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชทานด้วยพระองค์เอง
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ยังทรงให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับ ความเป็นมาของตราประจำ ตำแหน่ง ไว้ด้วยว่า ตราพระราชสีห์เห็นจะมีก่อนอื่นหมดเพราะเดิมเสนาบดีมีตำแหน่งเดียว เป็นรองจากพระเจ้าแผ่นดินในที่ว่าราชการต่างๆ แต่การรบคงมากกว่าอย่างอื่นตามตำแหน่งที่เรียกเสนาบดี ก็หมายความว่าเป็นใหญ่ในเสนา ( คือทหาร ) เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญ ตามคำที่ใช้เรียกคนกล้าว่า นรสิงห์ ภายหลังราชการมากขึ้น คนเดียวบังคับไม่ไหวจึงตั้งเติมอีกตำแหน่งหนึ่ง แบ่งกันบังคับการ คนหนึ่งให้บังคับพลเรือน คือพวกที่อยู่เรือนไม่ไปสงคราม ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่ จะให้ใช้ตราอะไรเป็นคู่กัน ก็เลือกได้แต่ คชสีห์ แต่ที่จริงคลาดไปหน่อย คำว่า คชสีห์ เห็นจะเป็นคำยกย่องช้างตัวกล้าว่าเหมือนราชสีห์ ได้มาจากคำว่า นรสีห์ นั่นเอง ทีหลังท่านทั้งสองนี้ไม่ไหวเข้า จึงเกิดตั้งเสนาบดีขึ้นอีกสี่ตำแหน่งเรียกว่าจตุสดมภ์ สำหรับช่วยบังคับการงาน |
|
|