ขั้นตอนและอุปกรณ์การทำเงินพดด้วง แถวบนคือ ค้อนและเบ้า แถวกลางและแถวล่างคือ ก้อนเงินรูปไข่ นำมาตีพับกลาง แล้วนำไปตีอีกครั้งในเบ้า พร้อมกับการประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาล

(ภาพจากหนังสืออยุธยา)

เงินพดด้วง มีรูปลักษณ์คล้ายตัวด้วงที่ขดอยู่ เป็นเงินตราที่ใช้กันตลอดยุคสมัยอยุธยา ซึ่งมีขนาดต่างๆ กัน จากหลักฐานที่บันทึกไว้ในจดหมายเหตุ หรือเอกสารของชาวต่างประเทศที่เข้ามาในสมัยอยุธยา สรุปได้ว่า มี 6 ขนาด คือ บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง 2 ไพ และ ไพ แต่ที่ใช้แพร่หลายมี 4 ขนาด คือ บาท สลึง เฟื้อง และ 2 ไพ เงินพดด้วงนั้นใช้กันอยู่ในวงการค้า ซึ่งในสมัยอยุธยา การค้าเป็นรายได้สำคัญของรัฐ และเป็นการค้าภายใต้การผูกขาดของพระคลังสินค้า การหมุนเวียนของเงินพดด้วงในตลาดจึงจำกัดอยู่ในวงการค้าระหว่างพระคลังสินค้ากับบริษัทต่างประเทศ ส่วนการค้าของราษฎรมีการใช้เงินพดด้วงไม่มากนัก แต่จะใช้เบี้ย (คือเปลือกหอยเล็กๆ ที่พ่อค้าชาวต่างชาติเป็นผู้นำเข้ามา) เป็นเงินตราย่อยในการค้าขายมากกว่า (อยุธยา, 2546 : 275)

ลักษณะของเงินพดด้วงในสมัยอยุธยา ทำด้วยเนื้อเงินแท้ ชนิดราคาของเงินพดด้วงที่ใช้มีเงินบาทเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาเป็นสองสลึง สลึง เงินเฟื้อง และเงินสองไพ เงินปลีกที่ราคาต่ำสุด คือ เบี้ย ได้แก่ เบื้ยจั่น และเบี้ยนาง อัตราการแลกเปลี่ยนเบี้ย 1 เฟื้อง เท่ากับ 800 เบี้ย (สุจิตรา มาถวร, 2541 : 32) ซึ่งอัตราการแลกเปลี่ยนนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการ

จากการศึกษาตามเอกสารพบว่า เงินที่ใช้ในสมัยกรุงธนบุรี ในช่วงแรกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ใช้พดด้วงของกรุงศรีอยุธยาอยู่ระยะหนึ่ง และต่อมาโปรดฯ ให้ผลิตพดด้วงประจำรัชกาลเพื่อใช้ในระบบเศรษฐกิจ (แต่คงสร้างขึ้นไม่มากนัก และคงใช้เงินพดด้วงของเก่าแบบกรุงศรีอยุธยาอีกส่วนหนึ่ง, บุญเกิด งอกคำ, ม.ป.ป. ; 40) ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับพดด้วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยเงินพดด้วงมีลักษณะเกือบเป็นก้อนกลม มีตราประทับ 2 ตรา ที่ด้านบนเป็นตราธรรมจักร หรือจักร เป็นเครื่องหมายประจำแผ่นดิน ส่วนตราด้านหน้า เป็นเครื่องหมายประจำรัชกาล (อยุธยา, 2546 : 274) ซึ่งกรมธนารักษ์ (2545 : 48 ) ได้กล่าวถึง ตราที่ประทับบนพดด้วงในสมัยกรุงธนบุรีว่า “ ...ประทับตราพระแสงจักร เป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นตรา “ ตรีศูล” หรือ “ ตราทวิวุธ”

พดด้วงตรีศูล
พดด้วงทวิวุธ
(ภาพจากหนังสือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และวิวัฒนาการเงินตราไทย)

ตรีศูล เป็นกลาวสามง่ามของพระอิศวร เรียกสั้นๆว่า ตรี
ทวิวุธ เป็นซ่อมสองง่าม หรือ เรียกตามภาษาสามัญว่า ตราซ่อมสองแฉก (มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม, 136-137)

ในรัชสมัยของพระองค์ การค้ากับต่างประเทศทำให้เงินตราของประเทศต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในกรุงธนบุรี ดังหลักฐานในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี (พระองค์เจ้าหญิงกุ หรือเจ้าครอกวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องนางเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช) บันทึกเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศที่เข้าใจว่าหายไปจากคลังในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า “ ...เงินในคลังหาย 2,000 เหรียญ เหรียญละ     | ๑ แพรเหลือง 10 ม้วน รับสั่งเรียกหาไม่ได้...”
              --------
               ๑  | ๓

เหรียญกษาปณ์ต่างประเทศชนิดหนักหนึ่งบาทสามสลึงเฟื้องนี้ตรงกับน้ำหนักเงินเหรียญสเปน (สมัยพระเจ้าคาร์โลสที่ 3 กษัตริย์สเปน ซึ่งครองราชย์ในช่วงระยะเวลาเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) (กรมธนารักษ์, 2545 : 48)


เบี้ย
(ภาพจากหนังสือวิวัฒนาการเงินตราไทย)

สำหรับการค้าในส่วนของราษฎรไม่ปรากฏเอกสารว่ามีการกล่าวถึง การนำเบี้ย หรือประกับมาใช้ แต่คาดว่าน่าจะยังคงให้ใช้อยู่ ดังที่สุจิตรา มาถาวร (2541 : 29) กล่าวว่า “ ...เงินเบี้ยใช้ติดต่อกันมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญดีบุกผสม เรียกว่า “กะแปะจีน และโสฬส” ขึ้นใช้ การใช้เบี้ยก็หายไปจากระบบการใช้เงินของไทยตั้งแต่นั้นมา”
ส่วนเงินพดด้วงถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2477 ในสมัยรัชกาลที่ 5 (อยุธยา, 2546 : 274)

มาตราเงินไทยโบราณ มีอัตรา

4 ไพ = 1 เฟื้อง
2 เฟื้อง = 1 สลึง
4 สลึง = 1 บาท
4 บาท = 1 ตำลึง
20 ตำลึง = 1 ชั่ง

เขียนเป็นผังได้ ดังนี้

                  ชั่ง
 ตำลึง          |          บาท
----------------------------
เฟื้อง           |          สลึง
                  ไพ

ตัวอย่าง เงิน

                  ๖
๗                |              ๓
----------------------------
๑                |              ๒
                 ๓
อ่านว่า เงิน ๖ ชั่ง ๗ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๓ ไพ (สถาบันภาษาไทย, 2545 : 115-116)