ประเทศไทยได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ศูนย์นิสิตนักศึกษาได้เป็นผู้นำประชาชนดำเนินการประท้วงรัฐบาลเรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จึงเกิดการจลาจลเผาที่ทำการรัฐบาล เช่น สำนักงานสลากกินแบ่ง สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและหลีกเลี่ยงภาษีอากร และกองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า รัฐบาลได้นำทหารเข้ามาปราบจลาจล มีผู้คนล้มตายหลายคนและกำลังขยายเป็นเหตุใหญ่ถึงเลือดนองท่วมแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้พระบารมี พระเมตตา พระปรีชาญาณ และความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อพระองค์ ทรงแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นให้ดีขึ้นได้ โดยทรงปรากฏพระวรกายทางวิทยุ โทรทัศน์ พระราชทานพระราชดำรัสเตือนสติและปลอบโยนแก่ทุกฝ่าย ดังตอนหนึ่งว่า

“... ขอให้ทุกฝ่ายทุกคนจงระงับเหตุแห่งความรุนแรง ด้วยการตั้งสติยับยั้ง เพื่อให้ชาติบ้านเมืองคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว ...”
และได้ทรงปรามฝ่ายรัฐบาลมิให้ทำร้ายประชาชนของพระองค์ว่า

“... ขอให้ทางฝ่ายรัฐบาลอย่างได้ทำร้ายแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน เป็นอันขาด
ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะถูกยั่วโทสะอย่างไร และถึงแม้จะมีการทำร้ายตำรวจทหารก่อน ด้วยมีด ไม้ หรือแม้แต่ระเบิดขวด ก็ขออย่าได้ทำร้ายตอบ
...”

เมื่อเกิดปะทะกันขึ้น ประชาชนหมดที่พึ่งก็พากันกรูเข้าไปในสวนจิตรลดาอันเป็นที่ตั้งของพระตำหนักที่ประทับ เพื่อขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมเป็นที่พึ่งสุดท้าย มีพระบรมราชโองการให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทุกคนถอดกระสุนปืนเก็บให้หมด และทรงต้อนรับประชาชนเหล่านั้น ให้หน่วยแพทย์หลวงรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่อมาได้มีกระแสพระราชดำรัสแนะนำให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพันเอก ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายนายกรัฐมนตรี กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกนอกประเทศ พร้อมกันนั้นก็พระราชทาน นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี มาเป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์จลาจลวุ่นวายก็ยุติลงอย่างฉับพลัน