เรื่องที่ 3
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรด มีความเค็ม พระองค์รับสั่งถามชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า “ ดินหลังบ้านเป็นอย่างไรเค็มไหม ” ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนกราบบังคมทูลตอบกลับมาว่า “ ไม่เคยชิมซักที ” ในหลวงก็รับสั่งกับข้าราชบริพารที่ตามเสด็จว่า “ ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ ”

เรื่องที่ 4
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับ พระฉวีมีอาการคันมีหมอโรคผิวหนัง คณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอคนหนึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า “ เอ้อ - ทรง … อ้าทรงพระคัน ( พระครรภ์ ) มานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ ” พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวล ตรัสว่า “ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง ” แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า “ เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ ” เป็นอันว่าได้กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษ

อีกครั้งหนึ่ง หลายปีมาแล้วเหมือนกันตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัว ยังโปรดพระโอสถมวนอยู่และในวันนั้นกำลังจะทรงพระโอสถมวน แต่ยังไม่ได้จุด ท่านผู้หนึ่งที่เผอิญได้เข้าเฝ้าอยู่ในขณะนั้น จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบลืมไปแล้ว ก็ปราดเข้าไปคุกเข่า จุดไฟแช็คถวาย และแถมกราบบังคมทูลเสียด้วยว่า “ ขอถวายพระเพลิงพะย่ะค่ะ ” พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลเสียงดัง และตรัสด้วยพระอารมณ์สนุกว่า “ ยัง … ยัง … ฉันยังไม่ตาย ….”
[เรื่องที่ 1 – 4 จากคุณ : varada 15 พ.ย. 44 23:23:41]
http://pantip.inet.co.th/caf?/rajdumnern/topic/P1186435.html

เรื่องที่ 5
ครั้งหนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ ฉันได้เป็นหมอความแล้ว ”
ต่อมาได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการแพทย์ ก็รับสั่งว่า “ คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา ”
ต่อมาอีกไม่นาน ได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า “ คราวนี้เป็นหมอลำ ” ( วิลาศ มณีวัต. 2543 : 10)