พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจความหมายและความสำคัญของงานศิลปะอย่างลึกซึ้ง ดังปรากฏ ในพระราชดำริที่พระราชทานในคราวเสด็จฯ เปิดงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ.2507 ตอนหนึ่งว่า

“… ศิลปะของไทยรุ่งเรืองมาแต่โบราณและสามารถแสดงลักษณะของชาติได้อย่างแท้จริง ก็เพราะบรรพบุรุษของเรามุ่งทำขึ้นเพื่อศิลปะด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ๆ ขอให้ศิลปินทั้งหลายพยายามรักษาความบริสุทธิ์ใจที่มีค่านี้ไว้ เพื่อยึดถือเป็นหัวใจในการสร้างงานศิลปะของท่านต่อไป …”

ในส่วนงานด้านจิตรกรรมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระ ราชหฤ ทัยในงานศิลปะสมัยใหม่ ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับเหล่าศิลปินร่วมสมัย ทั้งศิลปินไทยและศิลปินชาวต่างประเทศ ในปี พ.ศ.2507 ได้เสด็จเยี่ยมฯ ห้องทำงานของศิลปินชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คือ ออสก้า โคโคสก้า (Oskar Kokoschka) ที่เมืองมองเตรอส์ (Montreux) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงแลกเปลี่ยนความคิดกับจิตรกรผู้นี้ เพราะโคโคสก้าเป็นจิตรกรที่เขียนภาพด้วยการใช้สีที่ร้อนแรง และใช้ฝีแปรงที่รุนแรงตามแบบของลัทธิเอกซเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) ที่ทรงโปรดอยู่ ดังเช่นที่หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์ นักวิจารณ์ผู้ชำนาญในด้านศิลปะการวาดภาพและการถ่ายภาพได้เขียนถึงพระราชอัจฉริยภาพ ในด้านนี้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์
“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงวาดภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่ง … ภาพฝีพระหัตถ์ที่ทรงเขียนสวยประณีต และเหมือนของจริงก็มี การวาดเขียนแบบนี้ก็เหมือนการใช้ราชาศัพท์แบบสมบูรณ์และนิ่มนวลนั่นเอง ไม่แรงพอสำหรับการถ่ายความรู้สึกของศิลปินเข้าไว้ในผืนผ้าใบ ผู้ที่เขียนสวยและเหมือนมากมักจะแสดงความคิดความรู้สึกไม่ใคร่ออก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้องค์ประกอบแปลกๆ สีร้อนแรงกล้าไปทางด้านนามธรรม (Abstract) แต่ยังแฝงความรู้สึกและเครื่องหมายบางประการอย่างที่เราท่าน อาจดูออกว่าทรงหมายถึงสิ่งใด งานสีน้ำมันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ใคร่มีภาพเหมือนรูปสิ่งของ มักจะเป็นภาพของความรู้สึกและความคิด หรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง