ด้วยพระราชกรณียกิจนานับประการ เป็นเหตุให้ต้องเสด็จพระราชดำเนินไป ทั่วผืนแผ่นดินไทยทุกปี ทั้งในท้องถิ่นแห้งแล้ง ทุรกันดาร ภูเขาสูง บางครั้งก็ทรงกรำฝนเป็นเวลานาน

บางครั้งก็ทรงงานอยู่ในภูมิประเทศดังกล่าวจนถึงมืดค่ำ ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเป็นระยะทางไกลๆ ไปยังหมู่บ้านต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่ประจักษ์แก่ประชาชนชาวไทยและนานานประเทศคือ พระองค์ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรงสง่างามตามพระชนมพรรษา ทรงงานได้อย่างราบรื่นต่อเนื่องอย่างมิเหน็ดเหนื่อย แม้พระเสโทอาบพระพักตร์ และพระวรกายจนชุ่มโชกก็มิได้ทรงย่อท้อต่อพระราชกรณียกิจ

กลับทรงใช้พระปรีชาญาณในการพินิจพิจารณาการวางแผน ศึกษา วิเคราะห์ เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เองมิได้ทรงดำรงพระองค์อยู่ในความเกษมสำราญเยี่ยงผู้ที่มีสถานภาพเดียวกันกับพระองค์ และมิได้ทรงมีเวลาเกษียณจากการทำงานอันหนักหน่วง มีผู้กล่าวว่าไม่มีตารางนิ้วใดบนผืนแผ่นดินไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงย่างพระบาทไปถึง หรือไม่ทรงรู้จัก พระองค์ทรงแม่นในเรื่องข้อมูลมาก มีพระราชกระแสว่า เรื่องที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าการแม่นข้อมูลคือ ต้องมีจินตนาการ เพื่อที่จะคาดการณ์ว่า ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามสุดท้ายที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎร คือ มีอะไรให้ช่วยหรือไม่ ทรงทุ่มเทพระวรกายซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกปี ตลอดเวลา 50 กว่าปีที่ทรงอยู่ในสิริราชสมบัติ เป็นเพราะพระองค์ทรงเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการออกกำลังพระวรกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังพระวรกายด้วยการเดิน
การออกกำลังพระวรกาย เป็นไปตามหลักสำคัญที่พระราชทานแก่ปวงชน คือพออยู่พอกิน พอดี และเพียงพอ โดยยืนอยู่บนขาของตนเองได้หรือช่วยเหลือตนเองได้ เป็นความสมถะไม่ฟุ้งเฟ้อเรียบง่าย และปฏิบัติได้จริง วิธีออกกำลังพระวรกายหรือกีฬาที่ทรง เช่น เดิน วิ่งเหยาะ แบดมินตัน เรือใบ เรือกรรเชียง ฯลฯ โดยเฉพาะเรือใบ พระองค์ทรงโปรดที่จะ “ สร้าง ” ด้วยพระองค์เอง เพราะมีพระราชดำริว่า “ ซื้อแล้วแพง ”