วิธีการที่พระองค์ทรงใช้ในการพัฒนานั้น ทรงใช้คำว่า “ ระเบิดจากข้างใน ” กล่าวคือเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนก่อนแล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสตั้งตัว ซึ่งแนวคิดเช่นนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ทรงปรารถนาให้สังคมภายนอกเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แต่เดิมในชุมชนนั้น ซึ่งหมายรวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้สั่งสมกันมาช้านานด้วย

ในเรื่องที่เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในการใช้สมุนไพรนั้น พระองค์ทรงตระหนักอย่างชัดเจน หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้นอกจากที่ได้ทรงสนับสนุนการจัดทำสวนป่าสมุนไพรอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาวิจัยให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางแล้ว ยังได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับบุคคลที่เกี่ยวข้องบางท่าน เช่น นายแพทย์นพรัตน์ บุญยเลิศ ให้ศึกษาค้นคว้าวิธีรักษาโรคมะเร็งโดยใช้สมุนไพรไทย นอกจากนี้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2541 พระองค์ยังได้พระราชทานคำแนะนำแก่คณะวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม ซึ่งได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานโครงการรักษาผู้ป่วยเอดส์โดยใช้สมุนไพร ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ดังนี้

1.การวิจัยต้องร่วมมือกันทั้งบุคคล หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ งานวิจัยก็จะบังเกิดผลสำเร็จเป็นผลดี แก่ประเทศชาติ
2.ให้ความร่วมมือกับมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในการแก้ไขบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ครอบครัว รวมทั้งเด็กกำพร้า ในแนวทางซึ่งมูลนิธิฯ เคยดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคเรื้อนมาแล้วและร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ในการผลิตสารสกัดสารสมุนไพรและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสมุนไพรที่ใช้ในตำรับ
3. สมุนไพรที่นำมาใช้ในการรักษาโรคเอดส์ ไม่จำเป็นต้องบอกเฉพาะรักษาโรคเอดส์ หากมีสรรพคุณรักษาโรคอื่นๆ ได้ก็ดียิ่งขึ้น เพื่อผู้นำไปใช้จะใช้ได้อย่างกว้างขวาง
4.ส่วนผสมของสมุนไพรก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย เพราะหากประชาชนไม่เข้าใจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
5.สมุนไพรที่นำมาใช้แต่ละอย่างบอกชนิด คุณประโยชน์แบบกว้างๆ ก็จะดี ประชาชนจะได้ช่วยกันรักษาต้นไม้ หรือชนิดของสมุนไพรนั้นๆ ไม่ไปตัดโค่นทำลาย
6.บางหมู่บ้านประชาชนเป็น Thalassemia กันมากให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาในการศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจ หรือวิจัยให้เม็ดเลือดแดงมีการทำลายน้อยลง อาจใช้สมุนไพรเป็นตัวยับยั้ง (Antioxidant) หรือหายาขับเหล็ก เพื่อให้ชีวิตยาวขึ้น