อรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ภาค 2 ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของจักรแก้ว หรือจักรรัตน์ และความเป็นจักรพรรดิราชไว้ ความว่า จักรรัตน์จะปรากฏในมนุษย์เท่านั้น ประมาณค่าไม่ได้ ไม่เหมือนรัตนะทั้งหลายในโลก หาได้ยาก และมีเกิดขึ้นเป็นบางครั้งเท่านั้น ทั้งจะปรากฏแก่ผู้มีคุณสมบัติที่ดีทั้งรูป ชาติตระกูล ความประพฤติ และอิสริยสมบัติ ดังนั้นพระเจ้าจักรพรรดิราชจึงมีพระรูปโฉมงดงาม พระชนม์ยืนยาว ปราศจากโรคาพาธ เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุกชั้น และมีสมบัติพิเศษที่เรียกว่ารัตนะทั้ง 7 เกิดขึ้น มีความประพฤติอันประเสริฐ ชนะศัตรูได้โดยธรรม ปกครองแผ่นดิน บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนโดยมีสาครเป็นขอบเขต และพระจักรพรรดินั้นทรงเป็นผู้ทำให้จักรรัตน์นั้นหมุนไป

โดยเฉพาะคติของพราหมณ์ในไทย จะเห็นได้จากการตั้งชื่อเมืองหลวงของประเทศไทยที่จะมีคำว่า อโยธยา หรือ อยุธยา หรือ การใช้นามว่า ราม ประกอบอยู่ในพระนามของพระมหา - กษัตริย์ของไทยเราในสมัยต่างๆ นั้น ย่อมมีรากฐานมาจากชื่อของพระราม กษัตริย์ผู้ครองกรุงอโยธยา ในเรื่องรามเกียรติ์นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงใช้ตราจักร เทพอาวุธของพระนารายณ์ทั้งในฐานะ ที่สืบเนื่องมาจากพระนารายณ์ หรือมีอำนาจดังพระนารายณ์ในลักษณะต่างๆ กันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วเช่นกัน ดังเช่นใช้เป็นตราแผ่นดินบ้าง ใช้ตอกลงในเงินโบราณที่เรียกว่า เงินพดด้วง เป็นต้น

ส่วน ตรีศูล เทพอาวุธอีกชนิดหนึ่งนั้น เป็นอาวุธประจำหัตถ์ของ พระศิวะ หรือ พระอิศวร มีชื่อเฉพาะว่า “ ปินาถ ” ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงไว้ซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ของอินเดียโบราณอย่างลึกซึ้ง จนได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ” นั้น ได้ทรงอรรถาธิบายไว้ในเรื่องเทพเจ้าและสิ่งน่ารู้ว่า “ ตรีศูล นั้นไม่ใช่อาวุธของพระนารายณ์ เป็นของพระอิศวร ” ทั้งยังปรากฏในลิลิตนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์ของพระองค์ในตอนขอพรพระเป็นเจ้าว่า